อายุความในการฟ้องคดี

อายุความในการฟ้องคดี คืออะไร

 

อายุความ ในการฟ้องคดี คือ ระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้ใช้สิทธิเรียกร้อง สิทธิฟ้อง หรือสิทธิร้องทุกข์ โดยหากปล่อยไปจนล่วงเลยกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิที่ว่านั้น จะเป็นอันยกขึ้นอ้างอีกไม่ได้ หรือเรียกว่า “การขาดอายุความ” เช่นนี้ แม้จะมีเอกสารหลักฐานครบถ้วนที่สามารถใช้สิทธิ์ฟ้องร้องต่อศาลได้ หากปล่อยให้คดีขาดอายุความก็จะไม่ใช้สิทธิทางศาลได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพึ่งระวังอย่างมาก ดังนั้นหากคุณปรึกษา ทนายความ ในประเด็นอายุความก่อนที่จะฟ้องคดี จะมีประโยชน์อย่างมาก

การกำหนดอายุความมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความชัดเจนและความมั่นคงทางกฎหมาย ไม่ให้มีการฟ้องร้องคดีที่เก่าเกินไปจนหลักฐานหรือพยานหมดความน่าเชื่อถือ การใช้อายุความจึงเป็นการรักษาความยุติธรรมและประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม

ตัวอย่างเช่น อายุความของการฟ้องเรียกหนี้เงินตามสัญญากู้ยืมที่มีการกำหนดวันชำระหนี้ไว้แน่นอน จะมีอายุความ 10 ปี แต่ถ้าไม่มีระบุวันชำระหนี้แน่นอน อายุความจะเหลือ 10 ปีนับแต่วันที่เจ้าหนี้ทวงถามแล้วลูกหนี้ไม่ชำระ ส่วนการเรียกค่าเสียหายจากการละเมิด เช่น ถูกทำร้ายร่างกาย หรือทรัพย์สินเสียหาย มีอายุความเพียง 1 ปี นับจากวันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด

อย่างไรก็ตาม อายุความไม่ใช่การหมดสิทธิในตัวของมันเอง แต่เป็นการหมดสิทธิในการใช้สิทธิผ่านศาล ดังนั้น แม้จะขาดอายุความแล้ว คู่กรณียังสามารถชำระหนี้หรือปฏิบัติตามข้อตกลงโดยสมัครใจก็ได้

การเข้าใจเรื่องอายุความจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน เพื่อไม่ให้เสียสิทธิที่ควรได้รับตามกฎหมาย และเพื่อใช้สิทธิต่าง ๆ อย่างถูกต้องและทันเวลา.


Note : หากท่านต้องการสอบถามค่าจ้างทนายความในการฟ้องคดี ก่อนที่คดีจะหมดอายุความ อ่านเพิ่มที่
ค่าจ้างทนาย


สาเหตุที่ต้องมีการกำหนด อายุความ

 

อายุความ ในการฟ้องร้องคดีทั้ง คดีแฟ่ง และคดีอาญา ศาลท่านกำหนดไว้ เพื่อใช้เป็นแนวทางการพิจารณา เนื่องมาจาก

  1. เพื่อให้การพิสูจน์ความจริง เป็นไปให้เร็วที่สุด ในขณะที่พยานและหลักฐานยังใหม่พึ่งเกิดขึ้น โอกาสที่ศาลจะตัดสินผิดพลาดคลาดเคลื่อน มีโอกาศน้อย
  2. ถือเป็นสภาพบังคับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ต้องเร่งรัดกับคดีความ เนื่องจากหากละเลย ไม่เร่งรัด เพื่อให้ได้ตัวผู้กระทำผิดมาเข้าสู่กระบวนการภายในอายุความ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องมีความรับผิดด้วยเช่นกัน
  3. การมีอายุความทางคดี ถือเป็นการห้ามไม่ให้มีการนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นนานแล้ว มาเรียกร้องต่อกัน เนื่องจากพยานหลักฐานอาจสูญหาย เสื่อมสภาพ บกพร่อง หรือคลาดเคลื่อนไปตามกาลเวลา ส่งผลให้การวินิจฉัยข้อพิพาทนั้น ๆ ไม่อาจเป็นธรรมได้

 

วิธีการนับระยะเวลา อายุความ

 

การนับระยะเวลาอายุความเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากนับผิดพลาด อาจทำให้สิทธิตามกฎหมายหมดไปโดยไม่รู้ตัว การนับอายุความต้องพิจารณาให้ชัดเจนว่าเริ่มต้นนับจากเมื่อใด และระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมายคือกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี

โดยทั่วไป การนับอายุความจะเริ่มนับ “ตั้งแต่วันที่มีสิทธิฟ้อง” หรือ “วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงความเสียหายและรู้ตัวผู้กระทำผิด” ขึ้นอยู่กับลักษณะของคดี ตัวอย่างเช่น คดีละเมิด เช่น การถูกรถชน ผู้เสียหายจะมีเวลา 1 ปี นับจากวันที่รู้ว่าตนถูกละเมิดและรู้ว่าใครเป็นผู้กระทำผิด ในขณะที่คดีหนี้เงินตามสัญญากู้ยืมที่กำหนดวันชำระแน่นอน จะเริ่มนับอายุความ 10 ปี ตั้งแต่วันครบกำหนดชำระ

การนับระยะเวลา ต้องไม่นับวันแรกที่เกิดเหตุการณ์ เช่น หากสิทธิเกิดวันที่ 1 มกราคม การนับจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม และครบกำหนดเมื่อสิ้นสุดวันสุดท้ายของระยะเวลาที่กำหนด เช่น 1 ปี จะครบในวันที่ 1 มกราคมของปีถัดไป

หากวันสุดท้ายตรงกับวันหยุดราชการ วันเสาร์ หรือวันอาทิตย์ ให้นับไปสิ้นสุดในวันทำการถัดไปตามกฎหมาย

ในกรณีที่มีเหตุหยุดการนับอายุความ เช่น มีการรับสภาพหนี้ หรือการเจรจาไกล่เกลี่ย อายุความอาจ “หยุด” หรือ “ขาดตอน” ซึ่งต้องพิจารณารายละเอียดตามกฎหมายเฉพาะเรื่อง ดังนั้นควรปรึกษาทนายความเพื่อความถูกต้อง

การเข้าใจวิธีนับอายุความอย่างถูกต้องจะช่วยรักษาสิทธิของตนเองและป้องกันการเสียเปรียบทางกฎหมาย.

การนับอายุความนั้นจะเริ่มนับวันไหน นับวันก่อนวันเกิดเหตุโต้แย้งสิทธิ หรือวันนั้นเลยหรือวันรุ่งขึ้น ซึ่งมีกฎหมายกำหนดไว้ ดังนี้

การนับอายุความ ตามประมวลกฎหมายอาญา ไม่ได้บัญญัติวิธีการนับระยะเวลาอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงอยู่ในบังคับของหลักทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193 / 3 วรรคสอง ซึ่งมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน แต่ต้องเริ่มนับอายุความในวันรุ่งขึ้น


อายุความคดีอาญา


อายุความคดีอาญา ถูกกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 กำหนดจำนวนของการขาดอายุความ ไว้ดังนี้

อายุความ 20 ปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุก ตลอดชีวิต หรือจำคุก 20 ปี

อายุความ 15 ปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่า 7 ปี แต่ยังไม่ถึง 20 ปี

อายุความ 10 ปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่า 1-7 ปี 

อายุความ 5 ปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่า 1 เดือน ถึง 1 ปี 

อายุความ 1 ปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 เดือนลงมา หรือต้องระวางโทษอย่างอื่น

*คดีความผิดอันยอมความได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96

– ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ ภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด เป็นอันขาดอายุความ เช่น คดียักยอก คดีฉ้อโกง การนับอายุความกรณีนี้นับแต่รู้เรื่องและรู้ตัว กล่าวคือ รู้ว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นและ รู้ตัวผู้กระทำความผิด

 

อายุความคดีแพ่ง

 

อายุความ 1 ปี ในคดีการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย ซึ่งต้องใช้อายุความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตาม มาตรา 448 บังคับคือ 1 ปี นับแต่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึ่งต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้น 10 ปี นับแต่วันทำละเมิด คือ  เริ่มนับอายุความตั้งแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

อายุความ 2 ปี เช่น คดีเรียกค่าธรรมเนียมการศึกษา คดีเรียกค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ คดีเรียกค่าการงานที่ทำให้หรือสินจ้าง

อายุความ 5 ปี เช่น คดีเรียกดอกเบี้ยค้างชำระ ค่าเช่าทรัพย์สินค้างชำระ เรียกเงินผ่อนคืนเป็นงวด ๆ เรียกเงินค้างจ่าย เช่น เงินเดือน ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร เป็นต้น

อายุความ 10 ปี ส่วนมากเป็นคดีที่ประมวลกฎหมาย หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ เช่น อายุความคดีแพ่งผิดสัญญาซื้อขาย เป็นต้น


ผลของการปล่อยให้คดีขาดอายุความ


กรณีคดีอาญา
 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 98 เมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด หากผู้นั้นยังมิได้รับโทษ หรือได้รับโทษแต่ยังไม่ครบถ้วนโดยหลบหนี หรือแม้แต่ยังมิได้ตัวผู้นั้นมาเพื่อรับโทษ โดยเมื่อเวลาล่วงเลยเกินจากที่กำหนดตามกฎหมายระบุไว้ จะลงโทษผู้นั้นมิได้

กรณีคดีแพ่ง แม้คดีจะขาดอายุความแล้ว เจ้าหนี้อาจฟ้องร้องบังคับคดีได้ และลูกหนี้ที่ถูกฟ้องคดีแพ่ง มีสิทธิยกเหตุที่หนี้ขาดอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ เพื่อปฏิเสธการชำระหนี้ตามฟ้อง ซึ่งหากศาลเห็นว่าหนี้ขาดอายุความจริง ศาลต้องยกฟ้อง แต่ถ้าลูกหนี้ไม่ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลจะยกฟ้องโดยอ้างว่าหนี้ขาดอายุความไม่ได้


ค่าจ้างทนายราคาเท่าไหร่ ให้ฟ้องคดีก่อนหมดอายุความ


เนื่องจากทนายความไม่สามารถประกาศหรือโฆษณาค่าจ้างทนายในเว็บไซต์ได้ เนื่องด้วยข้อบังคับของสภาทนายความ ห้ามมิให้ทนายความโฆษณา หรือประกาศอัตราค่าจ้างว่าความ หรือโฆษณาว่าจะไม่เรียกร้องค่าทนาย ตามข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วย มารยาททนายความ พ.ศ. 2529 ข้อ 17

 

สอบถามค่าจ้างทนายความ ในการฟ้องคดีแพ่งและคดีอาญา ผ่านช่องทางไหนได้บ้าง

ขอแนะนำให้ท่าน มาพบทนายด้วยตนเองดีที่สุด เพราะการสอบข้อเท็จจริงที่ดีที่สุดระหว่างทนายความกับลูกความ คือการมานั่งคุยกันต่อหน้า เพราะว่าการคุยกันทางโทรศัพท์ ทางไลน์ ทางอีเมล์ อย่างไรเสียก็สู้มานั่งคุยกันต่อหน้าไม่ได้ เพราะทำให้เข้าใจข้อเท็จจริงต่างๆได้ละเอียดกว่า และสามารถซักถาม ทำความเข้าใจและจับกิริยาอาการต่างๆได้ดีที่สุด

Scroll to Top