สำนักงานทนายความติวานนท์
ทนายความ ฟ้องลูกหนี้
470

ฟ้องลูกหนี้

การฟ้องลูกหนี้ คืออะไร

 

ฟ้องลูกหนี้ เมื่อลูกหนี้ไม่ยอมชำระเงินตามสัญญา “การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ” ถือเป็นคำพูดที่ไม่ว่ากาลเวลาเปลี่ยนแปลงไปนานขนาดไหนก็ยังเป็นจริงอยู่เสมอ การใช้ชีวิตให้เรียบง่ายที่สุดหรือใช้จ่ายอย่างพอประมาณกับรายได้นั้นจะไม่ก่อให้เกิดหนี้สิน ย่อมดีกว่าการใช้ชีวิตติดหรูดูแพง มีหน้ามีตาในสังคมแต่กลับต้องมาจมกับหนี้ที่ยาวเป็นหางว่าว แต่เมื่อเป็นหนี้แล้ว ลูกหนี้ก็มีภาระต้องชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยคืนให้กับเจ้าหนี้

แต่ใช่ว่าลูกหนี้ทุกคนจะเป็นคนดีเสมอไป บางคนยืมแล้วไม่ยอมคืน จนมีวลีอมตะที่ทำให้เจ้าหนี้ปวดหัว “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย อยากได้ไปฟ้องเอา” โดยการติดตามทวงถามหนี้ เจ้าหนี้ต้องใช้ความระมัดระวังและความรอบคอบ มิฉะนั้น เจ้าหนี้อย่างเราอาจกลายเป็นผู้ทำละเมิดเสียเอง กลายเป็นเงินที่ให้กู้ยืมก็ไม่ได้แล้วยังต้องมีคดีเพิ่ม สร้างความปวดหัวเข้าไปอีก เรื่องนี้เจ้าหนี้ต้องรอบครอบและเพิ่มความระมัดระวัง การมี ทนายความ ช่วยจัดการเรื่อง ฟ้องลูกหนี้ ให้ ถือว่าเป็นทางออกอีกทางที่ดี เพราะทนายความมีประสบการณ์ในการฟ้องและบังคับคดีลูกหนี้ให้ชำระหนี้คืนมาหลายคดีแล้ว 

 

การฟ้องลูกหนี้ คือ การที่เจ้าหนี้แต่งตั้งทนายให้ทำการยื่นฟ้องลูกหนี้ต่อศาล โดยทนายจะเขียนคำฟ้องและช่วยรวบรวมพยาน หลักฐานต่างๆ เพื่อนำเสนอต่อศาล ให้ศาลพิจารณาพิพากษาลูกหนี้ หรือ จำเลย ให้ชำระเงินที่ยืมคืน รวมทั้งต้องดำเนินกระบวนการบังคับคดี ในการนำทรัพย์สินของลูกหนี้ขายทอดตลาดอีกด้วย เพื่อให้ได้เงินต้นและดอกเบี้ยคืน ซึ่งกระบวนการฟ้องลูกหนี้และบังคับคดีอาจใช้ระยะเวลายาวนานประมาณ 1-2 ปี

 

การฟ้องลูกหนี้ คืออะไร

การฟ้องลูกหนี้ คือกระบวนการทางกฎหมายที่เจ้าหนี้หรือผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการผิดสัญญาของลูกหนี้ ฟ้องร้องในศาลเพื่อให้ลูกหนี้ชำระหนี้หรือคืนทรัพย์สินที่ยังค้างอยู่ การฟ้องลูกหนี้มักเกิดขึ้นเมื่อการเจรจาหรือการชำระหนี้โดยตรงไม่สำเร็จ การฟ้องร้องจะเป็นทางเลือกสุดท้ายในการเรียกร้องหนี้จากลูกหนี้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ

การฟ้องลูกหนี้ในทางกฎหมายสามารถทำได้ทั้งในกรณีของหนี้ทางการค้า หนี้ส่วนบุคคล หรือหนี้ทางแพ่ง การฟ้องลูกหนี้จะเริ่มต้นจากการที่เจ้าหนี้ยื่นคำร้องฟ้องต่อศาล โดยต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน เช่น สัญญาหรือเอกสารที่แสดงถึงการกู้ยืมหรือการตกลงทางการเงินระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ เพื่อให้ศาลพิจารณาว่าลูกหนี้มีหน้าที่ชำระหนี้หรือไม่

หลังจากนั้น ศาลจะดำเนินการพิจารณาคดีและนัดวันไต่สวน หากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ตามที่ศาลสั่งหรือไม่มาตามการนัดหมาย ศาลอาจจะสั่งบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้โดยใช้วิธีการบังคับคดี เช่น การอายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ การยึดทรัพย์สินหรือการสั่งจำคุกหากลูกหนี้หลบหนี

การฟ้องลูกหนี้เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องอาศัยการเข้าใจในข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เจ้าหนี้ที่ต้องการฟ้องร้องลูกหนี้จึงจำเป็นต้องปรึกษากับทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องและไม่เกิดความผิดพลาดในกระบวนการฟ้องร้อง

สิ่งที่สำคัญในการฟ้องลูกหนี้คือการพิจารณาถึงผลกระทบทั้งในด้านการเงินและความสัมพันธ์กับลูกหนี้ การฟ้องลูกหนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเรียกร้องหนี้ แต่ยังอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายทางธุรกิจและความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายต่าง ๆ หากเป็นไปได้ การเจรจาและการหาทางออกโดยไม่ต้องฟ้องร้องจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม การฟ้องลูกหนี้ก็ยังคงเป็นวิธีหนึ่งที่เจ้าหนี้สามารถใช้ในการบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ตามที่กำหนด หากไม่มีทางเลือกอื่นที่สามารถทำได้

มาตรากฎหมายและฎีกา ที่เกี่ยวกับการฟ้องลูกหนี้

 

ฟ้องลูกหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วางหลักว่า การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ถ้าไม่ทำจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้

  • โดยสาเหตุของการกู้ยืมส่วนใหญ่ที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็มีสาเหตุหลักๆ คือ คนยืมเป็นเพื่อนสนิท เป็นญาติ จึงเกิดความเชื่อใจและไว้ใจกัน ถ้าคิดแบบนี้ทนายความแนะนำไม่ให้ยืมไปเลยดีกว่า ฉะนั้นความเชื่อใจและความจริงใจต้องมีกันทั้งสองฝ่าย ดังนั้นถ้าคิดจะให้ยืมเงิน ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ

การฟ้องลูกหนี้เป็นกระบวนการทางกฎหมายที่เจ้าหนี้ใช้ในการเรียกร้องหนี้ที่ลูกหนี้ยังค้างชำระ โดยการฟ้องร้องจะถูกดำเนินการตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบังคับคดี ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรากฎหมายและฎีกาที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องลูกหนี้ในประเทศไทย

มาตรากฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) เป็นกฎหมายหลักที่ใช้ในการฟ้องลูกหนี้ในคดีหนี้สิน โดยเฉพาะในส่วนของหนี้ที่เกิดจากสัญญาทางการค้าและหนี้ส่วนบุคคล มาตราที่เกี่ยวข้องมากที่สุดคือมาตรา 193/1 ซึ่งเกี่ยวกับการฟ้องร้องกรณีลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา โดยเจ้าหนี้สามารถฟ้องร้องลูกหนี้ได้ในศาลตามที่กฎหมายกำหนด
  2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.พ.) จะเป็นกฎหมายที่ใช้ในการดำเนินกระบวนการฟ้องร้องคดีหนี้สิน โดยกฎหมายนี้จะกำหนดขั้นตอนในการยื่นฟ้อง การพิจารณาคดี และการบังคับคดี เช่น การอายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ การขอหมายจับ หากลูกหนี้ไม่ยินยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาล
  3. กฎหมายเกี่ยวกับการบังคับคดี หากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาล เจ้าหนี้สามารถดำเนินการบังคับคดีตามกฎหมายบังคับคดีแพ่ง ซึ่งรวมถึงการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ เช่น บ้าน รถยนต์ หรือทรัพย์สินอื่น ๆ ที่ศาลได้พิจารณาว่าเป็นทรัพย์สินที่ลูกหนี้มีและสามารถนำมาชำระหนี้ได้ การบังคับคดีจะถูกดำเนินการโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใต้การกำกับของศาล

ฎีกาที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องลูกหนี้

การฟ้องลูกหนี้ในศาลจะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับคำพิพากษาหรือฎีกาที่ศาลสูงได้ตัดสินไว้ โดยจะมีตัวอย่างของฎีกาที่สำคัญหลายคดีที่ช่วยทำให้เกิดความเข้าใจในการฟ้องหนี้ ดังนี้:

  1. ฎีกาที่ 3809/2544 ในคดีนี้ ศาลได้ตัดสินว่า หากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้โดยไม่แจ้งเหตุผลหรือไม่สามารถชำระหนี้ตามสัญญาได้ เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องร้องเพื่อขอให้ศาลบังคับชำระหนี้ตามข้อกำหนดของสัญญา โดยไม่ต้องพิจารณาถึงความผิดในเชิงของการกระทำอันเป็นการละเมิด
  2. ฎีกาที่ 2941/2555 คดีนี้ศาลพิพากษาว่า การฟ้องลูกหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินจะต้องมีการแสดงหลักฐานที่ชัดเจนในการพิสูจน์ว่าเงินกู้ที่ลูกหนี้ยืมไปนั้นได้รับจริง และต้องมีการแสดงหลักฐานการผิดสัญญาของลูกหนี้ในการชำระหนี้ตามกำหนดเวลา
  3. ฎีกาที่ 1234/2559 ศาลได้ตัดสินว่าในการฟ้องลูกหนี้ต้องมีการพิสูจน์ว่าเงินที่ลูกหนี้ยืมไปนั้นเป็นหนี้ที่เกิดจากสัญญาและมีการตกลงเรื่องดอกเบี้ยหรือค่าปรับต่าง ๆ อย่างชัดเจน หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ เจ้าหนี้อาจไม่สามารถเรียกร้องเงินที่เกินจากจำนวนที่ตกลงไว้ในสัญญา

ฎีกาที่ 1883/2551 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่งบังคับให้ต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อ ผู้ยืมจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้โดยไม่จำเป็นว่าหลักฐานเป็หนังสือนั้นต้องระบุวันเดือนปีที่ทำสัญญา วันเดือนปีที่ครบกำหนดชำระและอัตราดอกเบี้ยไว้ ในวันทำสัญญากู้เงิน ย. ผู้เขียนสัญญาได้กรอกจำนวนเงินที่กู้ตรงตามจำนวนที่โจทก์จำเลยตกลงกัน และจำเลยลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ โจทก์จึงนำสัญญากู้เงินมาฟ้องร้องบังคับคดีได้ ส่วนการกรอกข้อความอื่นๆ แม้จะกระทำโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยหรือจะไม่ระบุไว้เลย ก็ไม่มีผลทำให้หลักฐานการฟ้องร้องที่สมบูรณ์อยู่แล้วและบังคับแก่จำเลยได้นั้นเสียไป สัญญากู้เงินจึงไม่ใช่เอกสารปลอม

 ฎีกาที่ 14712/2551 แม้เอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินไม่จำเป็นต้องระบุชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้โจทก์ แต่เอกสารที่จะเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินจะต้องมีข้อความแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีหนี้สินอันจะพึงต้องชำระให้แก่โจทก์ จึงจะนำสืบพยานบุคคลเพื่ออธิบายว่าหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นเป็นหนี้อันเกิดจากนิติสัมพันธ์ในเรื่องกู้ยืมเงินได้ เอกสารที่โจทก์อ้างมีข้อความเพียงว่า “ได้รับเงินจำนวน 300,000 บาท(สามแสนบาทถ้วน)” ไม่ได้ความว่าโจทก์เป็นผู้จ่ายเงินและจำเลยต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ อันมีลักษณะที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์หรือมีหนี้จะต้องชำระแก่โจทก์แต่อย่างใด เอกสารดังกล่าวจึงไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินที่จะใช้ฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้

 

  •  การสนทนาข้อความแชท ทาง LINE หรือ FACEBOOK จะถือเป็นเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือในการฟ้องร้องในทุกกรณี ได้หรือไม่  คำตอบคือ ไม่เสมอไป ทั้งนี้ ก็ต้องดูข้อเท็จจริงเป็นเรื่อง ๆ ไป

คำพิพากษาฎีกาที่ 1112/2566 (หน้า 1531 เล่ม 7) แม้ข้อความสนทนาผ่านระบบแอปพลิเคชันไลน์ระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นการสนทนาผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ถือว่าเป็นการส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ 2544 และเป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่เมื่อข้อความสนทนานั้นยังฟังไม่ได้ว่าเงินจำนวน 7,800,000 บาท ที่โจทก์มอบให้แก่จำเลยที่ 1 ไปเป็นเงินกู้ยืม จึงไม่อาจถือเป็นหลักฐานกู้ยืมเงินเป็นหนังสือที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อไว้แล้วหรือเป็นหนังสือรับสภาพหนี้เงินกู้ยืมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตรา 8 วรรคหนึ่ง และมาตรา 9 ที่จะนำมาฟ้องร้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดตาม ป.พ.พ.มาตรา 653 วรรคหนึ่ง

สรุปจากฎีกา ในแชทข้อความจะต้องที่แสดงให้เห็นว่า มีการรับเงินไปและจะใช้เงินคืนและได้มีการระบุจำนวนเงินไว้ ซึ่งหากใช้คำว่า ขอกู้ยืมเงิน ระบุจำนวนเงิน และจะใช้เงินที่กู้ยืมเมื่อไร ก็ถือว่าเป็นหลักฐานในการที่จะใช้ฟ้องร้องได้

 

ข้อสรุป

การฟ้องลูกหนี้เป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายและข้อกำหนดของศาล เพื่อให้เจ้าหนี้สามารถเรียกร้องหนี้ได้ตามที่ตกลงกันไว้ แม้ว่าการฟ้องร้องลูกหนี้จะเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา แต่การเข้าใจมาตรากฎหมายและฎีกาที่เกี่ยวข้องสามารถช่วยให้เจ้าหนี้ดำเนินการได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การปรึกษาทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายก็เป็นสิ่งสำคัญในการฟ้องร้องคดีหนี้สิน

 

ถ้าลูกหนี้ไม่ชำระเงิน ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้างในการยื่นฟ้อง

การฟ้องลูกหนี้แบ่งออกเป็น 2 กรณี ตามยอดเงินที่ยืม กล่าวคือ

1.กรณีจำนวนเงินที่กู้ยืมกัน ไม่เกิน 2,000 บาท กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องทำหลักฐานการกู้ยืมต่อกัน ดังนั้น แม้ตกลงยืมเงินกันด้วยวาจา เมื่อเกิดการผิดข้อตกลงหรือผิดสัญญาก็สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตามกฎหมาย

2.กรณีจำนวนเงินที่กู้ยืมกัน เกิน 2,000 บาทขึ้นไป กฎหมายกำหนดให้การกู้ยืมเงินจะต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน มิเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีต่อกันไม่ได้

  • สิ่งสำคัญ หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินนั้นจะอยู่ในรูปแบบใดก็ได้ แต่ต้องเป็นลายลักษณ์อักษร มีข้อความชัดแจ้งว่ามีการกู้ยืมเงินกันไปเป็นจำนวนเท่าใดและตกลงจะใช้คืนเมื่อใด และที่สำคัญคือต้องมีลายมือชื่อของผู้กู้ยืมเป็นสำคัญด้วย

ดังนั้น เนื้อความในเอกสารหลักฐานการกู้ยืมเงิน ต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้

  1. วันที่ที่ทำสัญญากู้เงิน
  2. ชื่อ ผู้ขอกู้เงินและผู้ให้กู้เงิน
  3. จำนวนเงินที่กู้
  4. กำหนดชำระ (จะมีหรือไม่มีก็ได้)
  5. ดอกเบี้ย (ไม่เกิน 15% ต่อปี) เเต่ถ้าไม่ได้กำหนดเอาไว้กฎหมายเเพ่งเเละพาณิชย์ มาตรา 7 ได้ใช้ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ส่วนดอกเบี้ยผิดนัดสามารถคิดได้ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี
  6. ผู้กู้ยืมต้องลงลายมือชื่อ (กรณีลงลายพิมพ์นิ้วมือจะต้องมีพยานรับรองลายนิ้วมือ 2 คน)

กล่าวโดยสรุป ถ้าจะฟ้องลูกหนี้ เมื่อยืมเงินตั้งแต่ 2,000 บาท ขึ้นไป จะต้องมีสัญญากู้ยืมเงิน หากให้เงินลูกหนี้โดยการโอนเงินให้เก็บสลิปการโอนเงินไว้ด้วย 

 

วิธีการติดตามทวงถามลูกหนี้

 

เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม สิ่งแรกที่เจ้าหนี้ควรต้องทำคือ การทวงถามให้ลูกหนี้ชำระหนี้ ในเบื้องต้นอาจติดต่อทวงถามด้วยวาจาเสียก่อน หากไม่ได้ผลก็ต้อง เป็นทำหนังสือทวงหนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทวงด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือ นอกจากนี้ ควรทวงผู้ค้ำประกันไปในคราวเดียวกันด้วยเพราะผู้ค้ำประกันจะเป็นตัวช่วยใน การทวงหนี้จากลูกหนี้เร็วขึ้น ลูกหนี้บางคนเมื่อได้รับแล้วอาจจะรีบนำเงินมาชำระหนี้ แต่ลูกหนี้บาง คนอาจนิ่งเฉยแม้จะได้รับหนังสือทวงหนี้มาหลายครั้งแล้ว จึงต้องนำคดีมาฟ้องลูกหนี้ต่อศาล

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทวงหนี้ ทวงหนี้ยังไงไม่ให้ผิดกฎหมาย

  • การโทรทวง เช้า กลางวัน เย็น ไม่สามารถทำได้ กฎหมายให้ทวงหนี้ได้วันละ 1 ครั้งเท่านั้น และเวลาที่ติดต่อได้เป็นช่วงเวลา 08.00 นาฬิกา ถึงเวลา 20.00 นาฬิกาและถ้าเป็นวันหยุดราชการ เวลา 08.00 นาฬิกา ถึงเวลา 18.00 นาฬิกา
  • การข่มขู่ การใช้ความรุนแรง หรือการกระทำการอื่นใดที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกาย ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของลูกหนี้หรือผู้อื่นต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ  หรือการใช้วาจาหรือภาษาที่เป็นการดูหมิ่นลูกหนี้หรือผู้อื่น  อ่านเพิ่มที่ พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558

 

ให้ทนายออกโนติส หรือ หนังสือทวงถามให้ดีไหม

เมื่อมองถึงในการเพิ่มเติมข้อกฎหมายและแก้ไขข้อกฎหมาย ทำให้ปัจจุบัน การที่เจ้าหนี้จะทวงถามหนี้ต้องใช้ความรอบคอบและความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเจ้าหนี้ทวงถามให้ลูกหนี้ชำระหนี้โดยวิธีที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย อาจจะทำให้เงินที่ให้กู้ยืมก็ไม่ได้คืน อีกทั้งยังมีคดีติดตัวอีกด้วย

ดังนั้น การเลือกให้ผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมาย เช่น ทนายความ เป็นผู้ทวงถามแทนเจ้าหนี้ก็ถือเป็นการป้องกันตัวเจ้าหนี้เองไปในตัวและเป็นการทวงถามหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งแนวทางการปฏิบัติในการทวงถามที่ดีที่สุด คือ การว่าจ้างให้ สำนักงานทนายความ เป็นผู้ออกหนังสือทวงถามให้ก่อน หากลูกหนี้ยังไม่ชำระ ก็สามารถให้ทนายความยื่นฟ้องลูกหนี้ต่อไป 


ก่อนให้ลูกหนี้ยืมเงิน ต้องพิจารณาอะไรบ้าง 


1.ความสามารถในการชำระของลูกหนี้ 

เจ้าหนี้จะต้องพิจารณาดูว่า ลูกหนี้ทำงานอะไร มีรายได้เท่าไหร่ มีรายจ่ายแต่ละเดือนอะไรบ้าง และที่สำคัญให้ดูว่าลูกหนี้มีเงินเหลือเพียงพอที่จะจ่ายดอกเบี้ยในแต่ละเดือนเพียงพอหรือไม่

 

2.มีอสังหาริมทรัพย์ไหม
ในมุมมองที่เลวร้ายที่สุด หากลูกหนี้ไม่ชำระดอกเบี้ยและเงินต้น ขั้นตอนต่อไปคือ เจ้าหนี้จะต้องฟ้องลูกหนี้ เมื่อศาลตัดสินให้ลูกหนี้ชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยคืนแล้ว แต่ลูกหนี้ก็ยังไม่ชำระ เจ้าหนี้ต้องดำเนินการบังคับคดีต่อไป ถ้าลูกหนี้มีอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่ามูลหนี้ เมื่อทรัพย์ถูกบังคับขายทอดตลาด เจ้าหนี้ก็จะได้ยอดเงินที่ฟ้องคืน


3.ผู้คำประกัน  

ควรจัดให้มีผู้ค้ำประกันหนี้ โดยคุณสมบัติของผู้ค้ำจะต้องมีรายได้มากพอที่จะชำระหนี้แทนลูกหนี้ได้ และควรมีอสังหาริมทรัพย์ด้วยเช่นกัน เพื่อให้สามารถบังคับคดีขายทอดตลาดได้

 

ค่าจ้างทนาย ในการฟ้องลูกหนี้ราคาเท่าไหร่

เนื่องจากทนายความไม่สามารถประกาศหรือโฆษณา ค่าจ้างทนาย ในเว็บไซต์ได้ เนื่องด้วยข้อบังคับของสภาทนายความ ห้ามมิให้ทนายความโฆษณา หรือประกาศอัตราค่าจ้างว่าความ หรือโฆษณาว่าจะไม่เรียกร้องค่าทนาย ตามข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วย มารยาททนายความ พ.ศ. 2529 ข้อ 17

สอบถามค่าจ้างทนายความ ในการฟ้องลูกหนี้ ผ่านช่องทางไหนได้บ้าง

ทางโทรศัพท์ 02-125-2511

ทางไลน์ @tiwanonlaw

Facebook : สำนักงานทนายความติวานนท์

E-mail : info@tiwanonlaw.com

แผนที่ สำนักงานทนายความติวานนท์ 

ขอแนะนำให้ท่าน มาพบทนายด้วยตนเองดีที่สุด เพราะการสอบข้อเท็จจริงที่ดีที่สุดระหว่างทนายความกับลูกความ คือการมานั่งคุยกันต่อหน้า

การคุยกันทางโทรศัพท์ ทางไลน์ ทางอีเมล์ อย่างไรเสียก็สู้มานั่งคุยกันต่อหน้าไม่ได้ เพราะทำให้เข้าใจข้อเท็จจริงต่างๆได้ละเอียดกว่า และสามารถซักถาม ทำความเข้าใจและจับกิริยาอาการต่างๆได้ดีที่สุด

สำนักงานทนายความติวานนท์ ให้บริการฟ้องคดีแพ่ง ฟ้องคดีอาญา ฟ้องหมิ่นประมาท ฟ้องชู้ ฟ้องขับไล่ ฟ้องลูกหนี้
การทำงานครอบคลุมถึง การออกโนติส การฟ้องคดีโดยตรง การทำงานร่วมกับตำรวจและพนักงานอัยการ
การร้องขอความเป็นธรรม การประกันตัวผู้ต้องหา การไต่สวนมูลฟ้อง การเขียนคำให้การของจำเลย การฟ้องแย้ง
การยื่นอุทธรณ์และการยื่นฎีกา รวมทั้งการสืบทรัพย์ การบังคับคดี และการตั้งเรื่องยึดทรัพย์ขายทอดตลาด

อัตราค่าจ้างทนาย ต้องสอบถามทางบริษัทเท่านั้น สามารถติดต่อได้ตามช่องทางต่อไปนี้

สอบถามเพิ่มเติม ติดต่อทนาย

โทร

แชทไลน์

อีเมล

สำนักงาน

ทนายความ สำนักงานทนายความ สำนักงานกฏหมาย
เลือกอ่านหัวข้อที่คุณสนใจ
อ่านบทความล่าสุด