สำนักงานทนายความติวานนท์
40

ยื่นคำร้องแต่งตั้งผู้จัดการมรดก

การ แต่งตั้งผู้จัดการมรดก คืออะไร

 

แต่งตั้งผู้จัดการมรดก จะกระทำได้เมื่อเจ้าของมรดกเสียชีวิต เมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งเสียชีวิต สิ่งที่ตามมาคือกระบวนการจัดการทรัพย์สินหรือ “มรดก” ของผู้เสียชีวิตให้เป็นไปตามกฎหมายหรือพินัยกรรมที่ได้จัดทำไว้ ในกระบวนการนี้จึงมีความจำเป็นต้องมี “ผู้จัดการมรดก” ซึ่งเป็นบุคคลที่ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้มีอำนาจในการบริหารและจัดการมรดกของผู้ตาย

การแต่งตั้งผู้จัดการมรดกสามารถเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ

  1. มีพินัยกรรม ซึ่งในพินัยกรรมนั้นได้มีการระบุชื่อผู้จัดการมรดกไว้เรียบร้อยแล้ว ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียสามารถยื่นคำร้องต่อศาลให้แต่งตั้งบุคคลนั้นเป็นผู้จัดการมรดกตามเจตนาของผู้ตาย

  2. ไม่มีพินัยกรรม หรือไม่มีการระบุชื่อผู้จัดการมรดกไว้ ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกได้ โดยศาลจะพิจารณาความเหมาะสมของบุคคลนั้นตามข้อเท็จจริง

หน้าที่ของผู้จัดการมรดก ได้แก่

  • รวบรวมทรัพย์สินของผู้ตาย

  • ชำระหนี้สินที่ค้างคา

  • แบ่งปันทรัพย์สินให้แก่ทายาทหรือผู้มีสิทธิ

  • จัดทำบัญชีและรายงานต่อศาล

การแต่งตั้งผู้จัดการมรดกนั้นจะต้องยื่นคำร้องต่อศาล พร้อมเอกสารต่าง ๆ เช่น มรณบัตร สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ตาย รายชื่อทายาท และรายละเอียดทรัพย์สิน การพิจารณาของศาลจะขึ้นอยู่กับความชัดเจนของข้อมูลและการคัดค้าน (ถ้ามี)

การมีผู้จัดการมรดกช่วยให้การแบ่งปันทรัพย์สินเป็นไปตามกฎหมาย ลดความขัดแย้งในครอบครัว และทำให้กระบวนการเป็นทางการ มีเอกสารยืนยันชัดเจน ทั้งนี้ ผู้จัดการมรดกมีความรับผิดชอบสูง จึงควรเป็นบุคคลที่ไว้วางใจได้ มีความซื่อสัตย์ และสามารถทำหน้าที่ได้อย่างตรงไปตรงมา

สรุปคือ “ผู้จัดการมรดก” คือผู้ที่ศาลแต่งตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่บริหารทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตให้เป็นไปตามกฎหมายหรือพินัยกรรม เป็นตำแหน่งสำคัญในกระบวนการจัดการมรดกที่ควรให้ความสำคัญและทำความเข้าใจให้ถูกต้อง

 

คำถามที่พบบ่อย ในการยื่นขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก

เมื่อมีบุคคลเสียชีวิต ทรัพย์สินที่หลงเหลืออยู่จะกลายเป็นมรดกที่ต้องมีการจัดการตามกฎหมาย ซึ่งหนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือ การแต่งตั้งผู้จัดการมรดก เพื่อดำเนินการจัดการทรัพย์สิน ชำระหนี้สิน และแบ่งมรดกให้แก่ทายาทอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม หลายคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มักมีข้อสงสัยต่าง ๆ วันนี้เราจึงรวบรวม คำถามที่พบบ่อยในการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก มาอธิบายอย่างเข้าใจง่าย
1. ใครสามารถยื่นคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกได้?
ผู้ที่สามารถยื่นคำร้องต่อศาล ได้แก่

  • ทายาทโดยธรรม เช่น คู่สมรส บุตร พ่อแม่ พี่น้อง
  • ผู้มีส่วนได้เสีย เช่น เจ้าหนี้ ผู้รับพินัยกรรม
  • บุคคลที่ถูกระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมให้เป็นผู้จัดการมรดก

2. แต่งตั้งผู้จัดการมรดกใช้เวลานานไหม?

  • ประมาณ 45 – 60 วัน

3. ฟ้องเป็นผู้จัดการมรดกต้องไปศาลไหน?

  • ศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลในขณะถึงแก่ความตาย ได้แก่ ศาลแพ่ง ศาลจังหวัด

4. ต้องใช้ทนายความหรือไม่?

  • ไม่จำเป็นต้อง จ้างทนายความ หากเรื่องไม่ซับซ้อน เช่น ทายาทมีความเห็นตรงกัน ไม่มีข้อขัดแย้ง หรือไม่มีพินัยกรรมที่ต้องตีความ อย่างไรก็ตาม หากกรณีมีความยุ่งยาก การมี ทนายความ จะช่วยให้ดำเนินการได้ถูกต้องและรวดเร็วขึ้น

5. การขอเป็นผู้จัดการมรดก ทำเองได้ไหม?

  • สามารถขอเป็นผู้จัดการมรดกได้ด้วยตนเอง

6. แต่งตั้งผู้จัดการมรดกใช้เอกสารอะไรบ้าง?

เอกสารที่ใช้ประกอบในการยื่นคำร้อง ได้แก่

  • ใบมรณบัตร และทะเบียนบ้านของผู้ตาย
  • ทะเบียนบ้าน บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก
  • ใบมรณบัตรของบิดามารดาของผู้ตาย กรณีบิดามารดาถึงแก่ความตายแล้ว
  • ทะเบียนสมรสหรือทะเบียนการหย่าของผู้ตาย
  • เอกสารที่เกี่ยวข้อง กรณีทายาทรับมรดกแทนที่ / เจ้ามรดกมีการรับรองบุตร / เจ้ามรดกมีบุตรบุญธรรม
    ใบสำคัญการเปลี่ยนชื่อชื่อสกุลของผู้ตาย ผู้ร้อง ทายาท และผู้มีส่วนได้เสีย ในทรัพย์มรดกของผู้ตาย
  • สูติบัตรของบุตรของผู้ตาย กรณีบุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ
  • พินัยกรรมของผู้ตาย (ถ้ามี)
  • หนังสือให้ความยินยอมในการร้องขอจัดการมรดกจากทายาท
  • แผนผังบัญชีเครือญาติ
  • เอกสารเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของผู้ตาย เช่น โฉนดที่ดิน สัญญาจำนอง ทะเบียนรถจักรยานยนต์ ทะเบียนรถยนต์ สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร เป็นต้น

5. สามารถคัดค้านการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกได้หรือไม่?

  • สามารถทำได้ หากเห็นว่าผู้ร้องไม่เหมาะสม หรือมีเจตนาไม่สุจริต เช่น ปกปิดทรัพย์สิน ไม่เปิดเผยรายชื่อทายาททั้งหมด หรือมีพฤติกรรมขัดต่อเจตนาของผู้ตาย โดยต้องยื่นคำคัดค้านต่อศาลภายในวันที่นัดไต่สวน

7. ค่าทนายความแพงไหม?

  • ค่าทนายความในการยื่นคำร้องแต่งตั้งผู้จัดการมรดกโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 15,000–30,000 บาท แล้วแต่ความซับซ้อนของคดี และขอบเขตการให้บริการของทนายความ

ผู้จัดการมรดก คือ ใครและทำหน้าที่อะไร

 

เมื่อมีบุคคลเสียชีวิต ทรัพย์สินที่เหลืออยู่ของผู้ตาย เช่น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ เงินฝาก หรือหนี้สิน จะกลายเป็น “มรดก” ซึ่งต้องมีการจัดการและแบ่งปันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หน้าที่นี้จึงตกเป็นของ “ผู้จัดการมรดก” ซึ่งเป็นบุคคลที่ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งขึ้นให้ดูแลและดำเนินการเกี่ยวกับมรดกของผู้ตายทั้งหมด

ผู้จัดการมรดกอาจเป็นบุคคลที่ผู้ตายระบุไว้ในพินัยกรรม หรืออาจเป็นทายาท ญาติ หรือบุคคลภายนอกที่ศาลเห็นว่าเหมาะสมและมีความสามารถในการจัดการทรัพย์สิน หากไม่มีพินัยกรรม ทายาทสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้แต่งตั้งผู้จัดการมรดกได้

หน้าที่ของผู้จัดการมรดกครอบคลุมหลายด้าน ได้แก่

  • รวบรวมทรัพย์สินของผู้ตาย ทั้งที่มีชื่อผู้ตายเป็นเจ้าของโดยตรง และทรัพย์สินอื่นที่เกี่ยวข้อง

  • ชำระหนี้สินของผู้ตาย เช่น หนี้ธนาคาร ค่ารักษาพยาบาล หรือภาระผูกพันอื่น ๆ

  • จัดการทรัพย์สินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ระหว่างกระบวนการจัดการมรดก

  • แบ่งปันทรัพย์สินให้แก่ทายาทหรือผู้มีสิทธิ ตามกฎหมายหรือพินัยกรรม

  • จัดทำบัญชีรายงานต่อศาล ว่ามีการจัดการทรัพย์สินอย่างไรบ้าง และเหลืออยู่เท่าไรเพื่อแบ่งปัน

ผู้จัดการมรดกจึงมีบทบาทสำคัญในการทำให้การจัดการมรดกเป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และถูกต้องตามกฎหมาย บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งต้องมีความซื่อสัตย์ รอบคอบ และยินดีรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง เพราะหากเกิดความผิดพลาดหรือทุจริต อาจถูกทายาทฟ้องร้องได้

กล่าวโดยสรุป ผู้จัดการมรดกคือบุคคลที่ศาลแต่งตั้งให้มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของผู้ตายอย่างถูกต้องตามกระบวนการกฎหมาย และเป็นผู้ช่วยให้การแบ่งปันมรดกเป็นไปโดยเรียบร้อย ลดข้อขัดแย้งระหว่างทายาท และคุ้มครองผลประโยชน์ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

 

ยื่นคำร้องตั้งผู้จัดการมรดก ด้วยตนเองได้หรือไม่

 

เมื่อมีบุคคลในครอบครัวเสียชีวิตและทิ้งทรัพย์สินไว้ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่ดิน รถยนต์ หรือเงินฝาก การจะจัดการทรัพย์สินเหล่านั้นให้ถูกต้องตามกฎหมาย จำเป็นต้องมีการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอ “ตั้งผู้จัดการมรดก” คำถามที่พบบ่อยคือ บุคคลทั่วไปสามารถยื่นคำร้องด้วยตนเองได้หรือไม่ คำตอบคือ สามารถทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีทนายความ แต่ต้องมีความเข้าใจขั้นตอนและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน

ตามกฎหมาย บุคคลที่มีสิทธิยื่นคำร้อง ได้แก่ ทายาทโดยธรรม ผู้มีส่วนได้เสีย หรือบุคคลที่ผู้ตายระบุไว้ในพินัยกรรม ซึ่งสามารถไปยื่นคำร้องที่ศาลที่ภูมิลำเนาของผู้ตายครั้งสุดท้าย หรือที่ทรัพย์มรดกตั้งอยู่

เอกสารที่ต้องเตรียมประกอบการยื่นคำร้อง เช่น

  • ใบมรณบัตรของผู้ตาย

  • สำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประชาชนของผู้ร้อง

  • รายชื่อทายาททั้งหมด

  • หลักฐานทรัพย์สิน เช่น โฉนดที่ดิน สำเนาสมุดบัญชี

  • พินัยกรรม (ถ้ามี)

  • หนังสือยินยอมจากทายาทคนอื่น (ถ้ามี)

หลังจากยื่นคำร้อง ศาลจะกำหนดวันนัดไต่สวน โดยผู้ร้องจะต้องไปเบิกความว่าเหตุใดจึงต้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก และชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินและทายาททั้งหมด หากไม่มีการคัดค้าน ศาลอาจมีคำสั่งแต่งตั้งในวันนั้นเลย หรือภายในไม่กี่วันถัดมา

แม้ว่าจะสามารถยื่นคำร้องด้วยตนเองได้ แต่หากมีข้อพิพาทเกี่ยวกับพินัยกรรม มีทายาทจำนวนมาก หรือมีผู้คัดค้าน อาจพิจารณาให้ทนายความช่วยดำเนินการ เพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น

สรุปคือ การยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกสามารถทำได้ด้วยตนเอง หากเตรียมเอกสารครบถ้วนและไม่มีข้อขัดแย้ง แต่หากเรื่องซับซ้อน การปรึกษาทนายความก็เป็นทางเลือกที่ดีในการป้องกันปัญหาในอนาคต

 

ใครมีสิทธิ ยื่นคำร้องตั้งผู้จัดการมรดก ได้บ้าง

 

เมื่อบุคคลหนึ่งเสียชีวิตและทิ้งทรัพย์สินไว้ การจัดการทรัพย์สินเหล่านั้นตามกฎหมายต้องผ่านขั้นตอนการยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอแต่งตั้ง “ผู้จัดการมรดก” ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการบริหารทรัพย์สินและแบ่งปันให้ทายาทตามสิทธิ โดยไม่จำเป็นต้องมีพินัยกรรมก็สามารถดำเนินการได้

บุคคลที่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาล ได้แก่

  • ทายาทโดยธรรม เช่น คู่สมรส บุตร บิดามารดา พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน

  • ผู้มีส่วนได้เสีย เช่น ผู้รับพินัยกรรม หรือเจ้าหนี้ของผู้ตาย

  • ผู้ที่ระบุไว้ในพินัยกรรม ให้เป็นผู้จัดการมรดก

การยื่นคำร้องต้องทำต่อศาลที่ผู้ตายมีภูมิลำเนาครั้งสุดท้าย หรือที่ซึ่งทรัพย์มรดกตั้งอยู่ ผู้ร้องควรเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน เช่น ใบมรณบัตร รายชื่อทายาท และหลักฐานทรัพย์สิน เพื่อให้ศาลพิจารณาและมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว

ยื่นคำร้องตั้งผู้จัดการมรดก จำเป็นต้องใช้ทนายความไหม

 

หลายคนสงสัยว่า หากต้องการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก จำเป็นต้องจ้างทนายความหรือไม่ คำตอบคือ ไม่จำเป็นต้องมีทนายความก็สามารถยื่นคำร้องได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะในกรณีที่เรื่องไม่ซับซ้อน เช่น มีทายาทไม่มาก ไม่มีข้อโต้แย้ง หรือไม่มีพินัยกรรมที่ซับซ้อน

ผู้ร้องสามารถไปยื่นคำร้องต่อศาลที่ผู้ตายมีภูมิลำเนาครั้งสุดท้าย พร้อมเอกสารที่จำเป็น เช่น ใบมรณบัตร รายชื่อทายาท หลักฐานทรัพย์สิน และหนังสือยินยอมจากทายาทคนอื่น (ถ้ามี) จากนั้นรอวันนัดไต่สวน ซึ่งผู้ร้องจะต้องให้การต่อหน้าศาล

อย่างไรก็ตาม หากกรณีมีความยุ่งยาก เช่น มีข้อพิพาท มีการคัดค้าน หรือมีพินัยกรรมที่ตีความได้หลายแง่มุม การมีทนายความช่วยดำเนินการจะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้กระบวนการดำเนินไปอย่างถูกต้องและราบรื่นมากยิ่งขึ้น

เราสามารถขอคัดค้านการจัดการมรดกได้หรือไม่

 

หากมีการยื่นคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกต่อศาล และคุณเป็นหนึ่งในทายาท หรือผู้มีส่วนได้เสียในมรดกนั้น คุณมีสิทธิ คัดค้าน การจัดการมรดกได้ หากเห็นว่าการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกดังกล่าวไม่เหมาะสม หรืออาจกระทบต่อสิทธิของคุณ

ตัวอย่างเหตุผลในการคัดค้าน เช่น

  • ผู้ร้องไม่เปิดเผยรายชื่อทายาททั้งหมด

  • มีการปกปิดหรือไม่แสดงรายการทรัพย์สินครบถ้วน

  • ผู้จัดการมรดกที่เสนอชื่ออาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือไม่น่าไว้วางใจ

  • พินัยกรรมที่ใช้ยื่นคำร้องอาจไม่ถูกต้อง หรือมีข้อพิรุธ

การคัดค้านต้องกระทำภายในกำหนดนัดไต่สวนของศาล โดยคุณต้องยื่นคำแถลงคัดค้าน พร้อมหลักฐานประกอบ และอาจต้องเข้าร่วมการไต่สวนเพื่อชี้แจงรายละเอียดต่อศาล

ดังนั้น หากคุณเห็นว่าการจัดการมรดกไม่ชอบธรรม ควรใช้สิทธิคัดค้านอย่างเหมาะสมและอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย เพื่อปกป้องสิทธิของตนเองอย่างถูกต้อง

แต่งตั้งผู้จัดการมรดก ค่าทนายความเท่าไหร่

 

การยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อแต่งตั้งผู้จัดการมรดก แม้สามารถทำได้ด้วยตนเอง แต่หลายคนเลือกใช้บริการทนายความเพื่อความสะดวกและมั่นใจว่ากระบวนการจะถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งนำมาสู่คำถามที่พบบ่อยคือ ค่าทนายความในการดำเนินเรื่องนี้อยู่ที่เท่าไหร่

โดยทั่วไป ค่าทนายความในการยื่นคำร้องแต่งตั้งผู้จัดการมรดกจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 – 30,000 บาท ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของคดี ปริมาณทรัพย์สิน จำนวนทายาท และว่ามีข้อโต้แย้งหรือไม่ หากมีการคัดค้าน หรือมีพินัยกรรมที่ต้องตีความ ค่าทนายความอาจสูงขึ้นตามความยากของคดี

นอกจากค่าทนาย ยังมี ค่าธรรมเนียมศาล และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็กอื่น ๆ เช่น ค่าเดินทาง ค่าพยาน หรือค่าจัดเตรียมเอกสารเพิ่มเติม ผู้ยื่นคำร้องควรสอบถามและตกลงค่าบริการกับทนายความให้ชัดเจนก่อนว่าครอบคลุมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

การจ้างทนายแม้มีค่าใช้จ่าย แต่ช่วยให้การดำเนินการเป็นระบบ ป้องกันความผิดพลาด และลดความขัดแย้งในครอบครัวได้ในระยะยาว ช่องทางการติดต่อทนายความ 

  • ทางโทรศัพท์ 02-125-2511
  • ทางไลน์ @tiwanonlaw
  • Facebook : สำนักงานทนายความติวานนท์
  • E-mail : info@tiwanonlaw.com
  • ขอแนะนำให้ท่าน มาพบทนายด้วยตนเองดีที่สุด เพราะการสอบข้อเท็จจริงที่ดีที่สุดระหว่างทนายความกับลูกความ คือการมานั่งคุยกันต่อหน้า
  • การคุยกันทางโทรศัพท์ ทางไลน์ ทางอีเมล์ อย่างไรเสียก็สู้มานั่งคุยกันต่อหน้าไม่ได้ เพราะทำให้เข้าใจข้อเท็จจริงต่างๆได้ละเอียดกว่า และสามารถซักถาม ทำความเข้าใจและจับกิริยาอาการต่างๆได้ดีที่สุด
  • แผนที่ สำนักงานทนายความติวานนท์

สำนักงานทนายความติวานนท์ ให้บริการฟ้องคดีแพ่ง ฟ้องคดีอาญา ฟ้องหมิ่นประมาท ฟ้องชู้ ฟ้องขับไล่ ฟ้องลูกหนี้
การทำงานครอบคลุมถึง การออกโนติส การฟ้องคดีโดยตรง การทำงานร่วมกับตำรวจและพนักงานอัยการ
การร้องขอความเป็นธรรม การประกันตัวผู้ต้องหา การไต่สวนมูลฟ้อง การเขียนคำให้การของจำเลย การฟ้องแย้ง
การยื่นอุทธรณ์และการยื่นฎีกา รวมทั้งการสืบทรัพย์ การบังคับคดี และการตั้งเรื่องยึดทรัพย์ขายทอดตลาด

อัตราค่าจ้างทนาย ต้องสอบถามทางบริษัทเท่านั้น สามารถติดต่อได้ตามช่องทางต่อไปนี้

สอบถามเพิ่มเติม ติดต่อทนาย

โทร

แชทไลน์

อีเมล

สำนักงาน

ทนายความ สำนักงานทนายความ สำนักงานกฏหมาย
เลือกอ่านหัวข้อที่คุณสนใจ
อ่านบทความล่าสุด