ฟ้องลูกหนี้ คืออะไร? ทำความเข้าใจขั้นตอนและมาตรากฎหมายสำคัญที่ควรรู้
เมื่อเกิดการกู้ยืมเงินหรือการผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญา สิ่งที่เจ้าหนี้มักนึกถึงเป็นอันดับสุดท้ายเพื่อทวงคืนสิทธิของตนคือ “การฟ้องลูกหนี้” บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความหมาย กระบวนการ และข้อกฎหมายที่สำคัญ เพื่อให้การจัดการปัญหาหนี้สินเป็นไปอย่างถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรม
การฟ้องลูกหนี้ คืออะไร?
การฟ้องลูกหนี้ คือ การที่เจ้าหนี้ใช้สิทธิทางศาลยื่นคำฟ้องต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา โดยส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นเมื่อลูกหนี้เพิกเฉยต่อการทวงถาม หรือไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลา (ผิดนัดชำระหนี้)
การฟ้องร้องในคดีหนี้สินส่วนใหญ่เป็น “คดีแพ่ง” ซึ่งมีเป้าหมายคือการเรียกคืนทรัพย์สินหรือเงินทอง ไม่ใช่คดีอาญาที่จะมีโทษจำคุก (ยกเว้นกรณีมีความผิดเฉพาะ เช่น พ.ร.บ.เช็ค หรือการยักยอกทรัพย์)
อ่านรายละเอียดการฟ้องเพิ่มเติมได้ที่ ฟ้องลูกหนี้
มาตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับลูกหนี้
ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีมาตราสำคัญที่เจ้าหนี้และลูกหนี้ควรรู้ ดังนี้:
- มาตรา 653: หลักฐานการกู้ยืมเงิน
นี่คือหัวใจสำคัญของการฟ้องร้อง “การกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไปนั้น หากไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อตัวผู้กู้เป็นสำคัญ จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้”
หมายเหตุ: ในปัจจุบัน การแชทผ่าน LINE หรือ Facebook ที่มีการระบุจำนวนเงินและคำยืนยันการยืม สามารถใช้เป็นหลักฐานตามกฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้
- มาตรา 204: การผิดนัดของลูกหนี้
กฎหมายระบุว่า ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือน (โนติส) แต่ลูกหนี้ยังไม่ชำระ ลูกหนี้จะได้ชื่อว่า “ผิดนัด” ทันที ซึ่งจะทำให้เจ้าหนี้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดได้ตามกฎหมาย
- มาตรา 213: การบังคับชำระหนี้
เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งบังคับชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจง หรือหากสภาพหนี้ไม่เปิดช่องให้ทำได้ ก็อาจเรียกค่าเสียหายแทน
- มาตรา 224: ดอกเบี้ยผิดนัด
ปัจจุบันกฎหมายมีการปรับปรุงใหม่ โดยกำหนดให้ดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดอยู่ที่ ร้อยละ 5 ต่อปี (หรือตามที่ตกลงกันในสัญญาแต่ต้องไม่เกินที่กฎหมายกำหนด) หากในสัญญาไม่ได้ระบุไว้ชัดเจน
สิ่งที่ควรระวัง: “อายุความ”
การฟ้องลูกหนี้ไม่ใช่จะทำเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ต้องทำภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด (อายุความ) เช่น:
- หนี้กู้ยืมทั่วไป: อายุความ 10 ปี
- หนี้บัตรเครดิต: อายุความ 2 ปี
- หนี้ค่าบริการ สินค้า หรือค่าจ้าง: อายุความ 2 ปี หรือ 5 ปี แล้วแต่กรณี
สรุป
การฟ้องลูกหนี้เป็นกระบวนการสุดท้ายเพื่อรักษาสิทธิตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ก่อนการฟ้องร้อง ศาลมักจะมีกระบวนการ “ไกล่เกลี่ย” เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้โดยไม่ต้องมีคดีความยืดเยื้อ การมีความเข้าใจในข้อกฎหมายและเตรียมหลักฐานให้พร้อม จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าหนี้
วิธีการจัดการลูกหนี้ หัวหมอ: “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย อยากได้ให้ฟ้องเอา”
ประโยคสุดคลาสสิกที่ทำให้เจ้าหนี้หลายคนถึงกับไปไม่เป็น คือการเจอคำท้าทายว่า “อยากได้ให้ไปฟ้องเอา” ซึ่งลูกหนี้กลุ่มนี้มักมีความเชื่อผิดๆ ว่ากระบวนการศาลนั้นยุ่งยาก ซับซ้อน และใช้เวลานานจนเจ้าหนี้จะถอดใจไปเอง แต่ในความเป็นจริง หากคุณมีวิธีรับมือที่ถูกต้อง การฟ้องร้องอาจไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คิด
1. เช็กหลักฐานให้ปึก (Evidence is King)
ก่อนจะขยับตัวทำอะไร ต้องตรวจสอบก่อนว่าเรามี “หลักฐานแห่งการกู้ยืม” หรือไม่ ตามมาตรา 653 หากกู้เกิน 2,000 บาท ต้องมีหนังสือลงลายมือชื่อผู้กู้
- แชทไลน์/Messenger: ใช้ได้! หากมีข้อความขอยืม ยอดเงินชัดเจน และเห็นชื่อบัญชีผู้ใช้
- สลิปโอนเงิน: หลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่ามีการส่งมอบเงินกันจริง
2. ส่ง “โนติส” (Legal Notice) เป็นการเตือนครั้งสุดท้าย
ก่อนฟ้อง ควรให้ ทนายความ ออกหนังสือบอกกล่าวทวงถาม (Notice) ส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ เพื่อเป็นการยืนยันว่าลูกหนี้ได้รับทราบการทวงถามอย่างเป็นทางการแล้ว หลายครั้งที่ลูกหนี้สาย “หัวหมอ” มักจะยอมจ่ายหรือขอเจรจาในขั้นตอนนี้เพราะเริ่มเห็นว่าเจ้าหนี้เอาจริง
3. ใช้ช่องทาง “คดีมโนสาเร่”
หากหนี้มีจำนวนไม่มาก (ไม่เกิน 300,000 บาท) คุณสามารถฟ้องเป็น คดีมโนสาเร่ ซึ่งมีขั้นตอนที่รวดเร็ว ค่าธรรมเนียมศาลต่ำ (เพียง 1% ของยอดฟ้อง) และศาลจะพยายามเน้นการไกล่เกลี่ยเพื่อให้จบเรื่องได้ไวที่สุด
4. ไม้ตายสุดท้าย: การสืบทรัพย์และบังคับคดี
เมื่อศาลพิพากษาให้ชนะคดีแล้ว หากลูกหนี้ยังเพิกเฉย เจ้าหนี้มีสิทธิ “สืบทรัพย์” เพื่อหาว่าลูกหนี้มีบ้าน รถ ที่ดิน หรือเงินเดือน (ที่เกิน 20,000 บาท) หรือไม่ เพื่อแจ้งกรมบังคับคดีให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินเหล่านั้นมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้
บทสรุป
การที่ลูกหนี้บอกว่า “ไม่มี” ไม่ได้แปลว่าเขาจะรอดพ้นความรับผิดชอบ เพราะตราบใดที่มีคำพิพากษา เจ้าหนี้มีสิทธิบังคับคดีได้นานถึง 10 ปี ความนิ่งสงบและการดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายคืออาวุธที่ดีที่สุดในการจัดการลูกหนี้ประเภทนี้
ฟ้องลูกหนี้ ไม่มีสัญญา: มีแค่แชตไลน์กับสลิปโอนเงิน ฟ้องได้ไหม?
หลายคนมักตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจ เมื่อเพื่อนหรือคนใกล้ชิดขอกู้ยืมเงินด้วยความไว้ใจจึงไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ มีเพียงข้อความสนทนาผ่านแอปพลิเคชัน LINE และสลิปการโอนเงินเท่านั้น คำถามสำคัญคือ “หลักฐานแค่นี้จะฟ้องร้องตามกฎหมายได้หรือไม่?”
คำตอบคือ “ฟ้องได้แน่นอนครับ”
กฎหมายรองรับหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์
แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 จะระบุว่าการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาท ต้องมี “หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ” แต่ปัจจุบันมี พ.ร.บ. ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 เข้ามาช่วยรองรับ โดยถือว่าการส่งข้อความผ่านแชต (LINE, Facebook, Messenger) เป็น “หนังสือ” ประเภทหนึ่ง หากเข้าเงื่อนไขดังนี้:
- แสดงเจตนาการกู้ยืมชัดเจน: ในแชตต้องมีข้อความที่ระบุว่า “ขอยืมเงิน” ยอดเงินเท่าไหร่ และจะคืนเมื่อไหร่
- ระบุตัวตนผู้กู้ได้: บัญชีผู้ใช้ (Account) นั้นต้องระบุได้ว่าเป็นของลูกหนี้จริง มีชื่อหรือรูปโปรไฟล์ที่ยืนยันตัวตนได้
- หลักฐานการส่งมอบเงิน: “สลิปโอนเงิน” คือหลักฐานสำคัญที่แสดงว่ามีการส่งมอบเงินกันจริงตามที่ตกลงในแชต
สิ่งที่เจ้าหนี้ควรเตรียมรับมือ
เพื่อให้การฟ้องร้องมีน้ำหนักและชนะคดี เจ้าหนี้ควรจัดการหลักฐานดังนี้:
- ห้ามลบแชต: แคปหน้าจอ (Screenshot) ข้อความทั้งหมดที่คุยกัน โดยให้เห็นชื่อโปรไฟล์ลูกหนี้อย่างชัดเจน
- เก็บสลิปการโอนเงิน: ตรวจสอบชื่อผู้รับโอนให้ตรงกับชื่อลูกหนี้ที่คุยกันในแชต
- ตรวจสอบอายุความ: โดยทั่วไปหนี้กู้ยืมมีอายุความ 10 ปี แต่ควรรีบดำเนินการตั้งแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระ
ข้อควรระวัง
หากในแชตมีเพียงภาพสลิปโอนเงิน โดยไม่มีข้อความพูดคุยเรื่องการ “ยืม” หรือ “คืน” ลูกหนี้อาจหัวหมออ้างได้ว่าเป็นเงินที่เจ้าหนี้ให้โดยเสน่หา หรือเป็นการชำระหนี้เก่า ดังนั้น ข้อความที่ระบุเจตนาการกู้ยืมจึงสำคัญที่สุด
สรุป
ในยุคดิจิทัล “แชตไลน์และสลิปโอนเงิน” มีสถานะเป็นหลักฐานที่ใช้ฟ้องศาลได้จริง หากคุณกำลังกังวลใจเพราะไม่มีสัญญาใบกระดาษ อย่าเพิ่งถอดใจครับ หลักฐานในมือถือของคุณมีค่าเท่ากับหนังสือสัญญาตัวจริง
ฟ้องลูกหนี้: เปิดงบประมาณที่ต้องจ่าย ยอดเท่าไหร่ถึงจะคุ้มค่าฟ้อง?
การตัดสินใจฟ้องร้องลูกหนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องของ “ความถูกต้อง” แต่มีเรื่องของ “ต้นทุน” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เจ้าหนี้หลายท่านอาจกังวลว่า “ค่าฟ้องจะแพงกว่ายอดหนี้ไหม?” บทความนี้จะช่วยกางตัวเลขให้คุณเห็นภาพชัดเจนขึ้นครับ
1. ค่าธรรมเนียมศาล (Court Fees)
นี่คือค่าธรรมเนียมที่คุณต้องจ่ายให้รัฐเมื่อยื่นฟ้อง:
- คดีมโนสาเร่ (ทุนทรัพย์ไม่เกิน 300,000 บาท): ค่าธรรมเนียมศาลจะอยู่ที่ ร้อยละ 1 ของยอดเงินที่ฟ้อง
- คดีแพ่งทั่วไป (ทุนทรัพย์เกิน 300,000 บาท): ค่าธรรมเนียมศาลจะอยู่ที่ ร้อยละ 2 ของยอดเงินที่ฟ้อง (แต่ไม่เกิน 200,000 บาท)
- ค่าส่งหมายเรียก: ประมาณ 1,000 – 3,000 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทางที่เจ้าพนักงานศาลต้องนำหมายไปส่งให้ลูกหนี้
2. ค่าทนายความ (Lawyer Fees)
ค่าทนายไม่มีราคากลางที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับความยากง่ายและชื่อเสียงของทนายความ:
- แบบเหมาจ่าย: สำหรับคดีกู้ยืมทั่วไปที่ไม่ซับซ้อน มักเริ่มต้นที่ 20,000 – 50,000 บาท
- แบบเปอร์เซ็นต์: ทนายบางท่านอาจคิดเป็น ร้อยละ 10 – 30 ของยอดหนี้ที่ตามคืนได้
- สอบถามค่าทนาย ได้ที่นี่ ค่าจ้างทนาย
ข้อควรทราบ: แม้ชนะคดี ศาลอาจสั่งให้ลูกหนี้จ่ายค่าทนายแทนเรา แต่ส่วนใหญ่ศาลจะกำหนดให้เพียงหลักพันบาท (เช่น 3,000 – 5,000 บาท) ซึ่งอาจไม่ครอบคลุมค่าทนายจริงที่เราจ่ายไป
3. ยอดเงินกู้เท่าไหร่ถึงจะ “คุ้มค่าฟ้อง”?
หากต้องจ้างทนายความ ยอดหนี้ที่คุ้มต่อการฟ้องร้องควรจะอยู่ที่ 50,000 – 100,000 บาทขึ้นไป หากยอดหนี้น้อยกว่านั้น (เช่น 10,000 – 20,000 บาท) การจ้างทนายอาจไม่คุ้มทุน เว้นแต่เจ้าหนี้จะเลือก “ฟ้องเอง” ในคดีมโนสาเร่ ซึ่งศาลมีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำในการเขียนคำฟ้องและขั้นตอนไม่ยุ่งยากเท่าคดีใหญ่
บทสรุป
ก่อนฟ้อง นอกจากคำนวณค่าธรรมเนียมและค่าทนายแล้ว ต้องประเมินด้วยว่า “ลูกหนี้มีทรัพย์สินให้ยึดหรือไม่” เพราะต่อให้ชนะคดี แต่ถ้าลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินเลย เจ้าหนี้อาจต้องเสียทั้งเงินค่าฟ้องและเสียเวลาฟรี
ถ้าลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินให้ยึดเลย ฟ้องไปจะเสียเงินฟรีหรือไม่?
หนึ่งในคำถามที่เจ้าหนี้กังวลใจที่สุดคือ “ถ้าสืบดูแล้วลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินอะไรเลย การฟ้องร้องจะกลายเป็นการเสียเงินซ้ำซ้อนหรือไม่?” คำตอบของเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ “ใช่” หรือ “ไม่” แต่ขึ้นอยู่กับการประเมินความคุ้มค่าและโอกาสในอนาคตครับ
1. ความเสี่ยงที่จะได้เพียง “กระดาษแผ่นเดียว”
หากลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สิน (บ้าน, ที่ดิน, รถยนต์) ไม่มีเงินเดือนเกิน 20,000 บาท และไม่มีเงินในบัญชีธนาคาร แม้คุณจะชนะคดีจนได้คำพิพากษามา แต่มันจะเป็นเพียง “กระดาษแผ่นเดียว” ที่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ทันที ในกรณีนี้ หากคุณจ่ายค่าทนายและค่าธรรมเนียมศาลไปหลักหมื่นเพื่อแลกกับยอดหนี้ที่ไม่สูงนัก ก็อาจมองได้ว่า “เสียเงินฟรี” ในเชิงปัจจุบัน
2. อาวุธลับ: “อายุความบังคับคดี 10 ปี”
สิ่งที่เจ้าหนี้หลายคนอาจไม่ทราบคือ เมื่อศาลพิพากษาแล้ว คุณมีสิทธิในการ “บังคับคดี” ได้นานถึง 10 ปี * วันนี้เขาอาจไม่มี แต่พรุ่งนี้ไม่แน่: ภายใน 10 ปีนี้ หากลูกหนี้กลับมาทำงานมีเงินเดือนสูงขึ้น ซื้อรถใหม่ รับมรดกที่ดิน หรือมีเงินโอนเข้าบัญชี คุณสามารถนำคำพิพากษาเดิมไปแจ้งกรมบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์เหล่านั้นได้ทันที
- กดดันทางจิตวิทยา: การมีคดีติดตัวและถูกบังคับคดีจะทำให้ลูกหนี้ทำธุรกรรมทางการเงินลำบาก หรือถูกอายัดเงินเดือน ซึ่งอาจบีบให้ลูกหนี้ต้องกลับมาขอเจรจาประนอมหนี้ในที่สุด
3. การประเมินความคุ้มค่าก่อนตัดสินใจ
ก่อนจะควักเงินจ่ายค่าฟ้อง ให้พิจารณา 2 ปัจจัยหลัก:
- ยอดหนี้: หากหนี้หลักแสนหรือหลักล้าน การฟ้องเพื่อถือสิทธิบังคับคดีไว้ 10 ปีถือว่าคุ้มค่า แต่หากหนี้เพียงหลักพันหรือหลักหมื่นต้นๆ ค่าฟ้องอาจแพงกว่ายอดหนี้
- โปรไฟล์ของลูกหนี้: ลูกหนี้อายุยังน้อยหรือยังมีศักยภาพในการทำงานในอนาคตหรือไม่? ถ้าใช่ การฟ้องไว้เพื่อรอเวลาที่เขามีทรัพย์สินก็น่าสนใจ
บทสรุป
การฟ้องลูกหนี้ที่ไม่มีทรัพย์สินในวันนี้ คือการลงทุนเพื่อสิทธิในอีก 10 ปีข้างหน้า หากคุณมองว่าลูกหนี้คนนี้คงไม่มีทางตั้งตัวได้เลย การฟ้องอาจไม่คุ้มเสีย แต่ถ้าคุณต้องการ “ดัดหลัง” ลูกหนี้หัวหมอและรักษาสิทธิของตนเอง การมีคำพิพากษาไว้ในมือก็คืออาวุธที่ทรงพลังที่สุด
ต้องรอให้หนี้ค้างนานแค่ไหนถึงจะฟ้องได้ และมีอายุความกี่ปี
เมื่อลูกหนี้เริ่มเงียบหายหรือผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ คำถามที่เจ้าหนี้มักสงสัยคือ “เราต้องรอนานแค่ไหนถึงจะยื่นฟ้องได้?” และ “ถ้าปล่อยไว้นานเกินไปจะหมดอายุความหรือไม่?” บทความนี้จะสรุปช่วงเวลาที่เหมาะสมและข้อกำหนดทางกฎหมายที่สำคัญครับ
ต้องรอนานแค่ไหนถึงจะฟ้องได้?
ในทางกฎหมาย คุณสามารถฟ้องได้ทันทีที่ “ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้” โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้:
- หนี้ที่มีกำหนดเวลาแน่นอน: หากในสัญญาระบุว่าต้องคืนวันที่ 1 มกราคม เมื่อพ้นวันที่ 1 แล้วลูกหนี้ไม่จ่าย ถือว่า “ผิดนัด” ทันทีในวันที่ 2 มกราคม คุณมีสิทธิฟ้องได้เลย
- หนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน: เจ้าหนี้ต้องทำการ “ทวงถาม” (ส่งโนติส) โดยกำหนดระยะเวลาให้ชำระตามสมควร (เช่น 7 วัน หรือ 15 วัน) หากพ้นกำหนดนั้นแล้วยังไม่จ่าย จึงจะถือว่าลูกหนี้ผิดนัดและฟ้องได้
ข้อแนะนำ: แม้กฎหมายจะอนุญาตให้ฟ้องได้ทันที แต่ในทางปฏิบัติมักนิยมส่งหนังสือทวงถามอย่างเป็นทางการ (Notice) 1-2 ครั้งก่อน เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันต่อศาลว่าเราได้พยายามติดตามหนี้อย่างเต็มที่แล้ว
อายุความ: ระยะเวลาสุดท้ายที่ฟ้องได้
“อายุความ” คือระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้เจ้าหนี้ต้องใช้สิทธิฟ้องร้อง หากปล่อยจนเลยกำหนด ลูกหนี้สามารถยกเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้เพื่อให้ศาลยกฟ้องได้ ซึ่งหนี้แต่ละประเภทมีอายุความต่างกันดังนี้:
| ประเภทหนี้ | อายุความ |
| หนี้กู้ยืมเงินทั่วไป (จ่ายคืนก้อนเดียว) | 10 ปี |
| หนี้กู้ยืมที่ตกลงคืนเป็นงวดๆ (รวมต้นเงินและดอกเบี้ย) | 5 ปี |
| หนี้บัตรเครดิต | 2 ปี |
| หนี้ค่าสินค้า/ค่าบริการ/ค่าจ้างวิชาชีพ | 2 ปี |
| หนี้ตามเช็ค (ฟ้องทางแพ่ง) | 1 ปี |
สิ่งที่เจ้าหนี้ต้องระวัง
- อายุความเริ่มนับเมื่อไหร่? เริ่มนับตั้งแต่วันที่เจ้าหนี้ “อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้” หรือวันแรกที่ลูกหนี้ผิดนัดนั่นเอง
- การสะดุดหยุดลงของอายุความ: หากระหว่างนั้นลูกหนี้มีการใช้หนี้บางส่วน หรือเขียนหนังสือรับสภาพหนี้ อายุความจะ “เริ่มนับหนึ่งใหม่” ทันที
สรุป
คุณไม่จำเป็นต้องรอให้หนี้ค้างเป็นปีถึงจะฟ้องได้ เพียงแค่มีการผิดนัดก็เริ่มกระบวนการได้เลย แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการ “ระวังอย่าให้ขาดอายุความ” โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิตหรือค่าสินค้าที่มีเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น
ถ้าลูกหนี้หัวหมอ ‘โอนทรัพย์สินหนี’ หรือ ‘ไม่มีชื่อเป็นเจ้าของบ้าน’ จะทำอย่างไร?
หนึ่งในความเจ็บใจที่สุดของเจ้าหนี้คือการเห็นลูกหนี้กินหรูอยู่สบาย ขับรถราคาแพง แต่พอถึงเวลาทวงหนี้กลับบอกว่า “ไม่มีทรัพย์สินชื่อตัวเองเลย” หรือแอบ “โอนที่ดินหนี” ไปเป็นชื่อญาติพี่น้องเพื่อหลบเลี่ยงการยึดทรัพย์ ในทางกฎหมายมีช่องทางจัดการลูกหนี้สายหัวหมอเหล่านี้อยู่ครับ
1. ใช้สิทธิ “เพิกถอนการฉ้อฉล” (มาตรา 237)
หากลูกหนี้จงใจโอนทรัพย์สิน (เช่น บ้าน ที่ดิน หรือรถ) ให้คนอื่นเพื่อให้เจ้าหนี้เสียเปรียบและไม่สามารถบังคับคดีได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้ “เพิกถอน” การโอนนั้นได้
- เงื่อนไข: ต้องพิสูจน์ได้ว่าลูกหนี้ทำไปเพื่อให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ และผู้รับโอนก็รู้เห็นเป็นใจด้วย (ยกเว้นเป็นการโอนให้โดยเสน่หา เจ้าหนี้จะเพิกถอนได้ง่ายกว่า)
2. ฟ้องคดีอาญา “ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้”
นี่คือ “ไม้ตาย” ที่จะเปลี่ยนคดีแพ่งให้มีโทษจำคุก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ระบุว่า หากลูกหนี้โอน ย้าย หรือซ่อนเร้นทรัพย์สิน เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ มีโทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ความน่ากลัวของคดีอาญาคือมีโทษติดคุก ซึ่งมักจะบีบให้ลูกหนี้ที่เคยหัวหมอ ยอมคายทรัพย์สินออกมาเจรจาในที่สุด
3. สืบทรัพย์ทางลึก (มากกว่าแค่บ้านหรือที่ดิน)
หากลูกหนี้ไม่มีชื่อเป็นเจ้าของบ้าน อย่าเพิ่งท้อครับ ยังมีทรัพย์สินอื่นที่ยึดได้ เช่น:
- เงินเดือน/โบนัส: หากเป็นพนักงานบริษัทและมีเงินเดือนเกิน 20,000 บาท สามารถอายัดได้
- หุ้น/ปันผล: ตรวจสอบว่ามีชื่อถือหุ้นในบริษัทใดหรือไม่
- ทรัพย์สินในบ้าน: ถึงบ้านจะเป็นชื่อคนอื่น แต่ทรัพย์สินภายในบ้าน (ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเป็นของลูกหนี้) ก็สามารถนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดได้
- บัญชีเงินฝาก: การสืบหาเลขบัญชีธนาคารเพื่ออายัดเงินในบัญชี
สรุป
การที่ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินในชื่อตนเอง ไม่ได้แปลว่าคุณจะทำอะไรไม่ได้เลย กฎหมายมีเครื่องมือทั้งทางแพ่งและอาญาเพื่อดึงทรัพย์สินเหล่านั้นกลับมา อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้ต้องอาศัยการสืบทรัพย์อย่างละเอียดและมีหลักฐานการโอนย้ายที่ชัดเจน


