เมื่อถูกฟ้องคดีแพ่ง ต้องทำอย่างไร

เมื่อถูกฟ้องคดีแพ่ง หรือ ได้รับหมายศาล จะต้องทำอย่างไร

 

ถูกฟ้องคดีแพ่ง หลายคนอาจตกใจ เพราะว่าอยู่มาวันดีคืนดี ปรากฏว่ามีหมายศาลคดีแพ่งมาแขวนไว้หน้าบ้าน พออ่านดู อ้าว ทำไมชื่อของเราจึงถูกเป็นจำเลยในหมายศาล หลายคนอาจจกใจ เพราะไม่เคยไปขึ้นโรงขึ้นศาลมาก่อน จะทำอย่างไรดี จะปรึกษาใครดี เริ่มรนไปหมดแล้ว วันนี้สำนักงานทนายความติวานนท์ ซึ่งเรามี ทนายความ ที่เชี่ยวชาญด้านคดีแพ่ง จะมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อเราได้รับหมายศาลคดีแพ่ง เราควรจะต้องทำอย่างไรบ้าง

 

Note : หากท่านต้องการสอบถามค่าจ้างทนายความในการแก้ต่างคดีแพ่ง อ่านเพิ่มที่ ค่าจ้างทนาย

 

ขั้นตอนและวิธีปฏิบัติเมื่อคุณถูกฟ้องร้องในคดีแพ่ง หรือได้รับหมายศาล

 

เมื่อถูกฟ้องคดีแพ่ง แล้ว เราจะทำอะไรจะหาทางออกอย่างไรได้บ้าง ถ้าถูกฟ้องคดีแพ่ง วิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดคือท่านจะต้องมาพบทนายความ เอาหมายศาลมาให้กับทนายความ มาเล่าเรื่องจริงทั้งหมดให้กับทนายความฟัง ว่าเรื่องที่ตนถูกฟ้องทั้งที่มาที่ไปเป็นยังไงมีเอกสารหลักฐาน พยานบุคลคล พยานเอกสาร อะไรที่กี่ยวข้องนำมาด้วย เพื่อให้ทนายความตรวจสอบข้อเท็จจริง ประเมิณรูปคดี เพื่อหาทางออกให้ สรุปรูปคดี

หากคุณได้รับหมายศาล หรือ ถูกฟ้อง สิ่งที่คุณจะต้องทำมี ดังนี้

การได้รับหมายศาลหรือต้องเผชิญกับคดีแพ่งเป็นสิ่งที่หลายคนอาจไม่คาดคิด และสร้างความตื่นตระหนกได้ไม่น้อย แต่หากคุณมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเหมาะสม ก็จะสามารถจัดการสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ตั้งสติและตรวจสอบรายละเอียดในหมายศาล
เมื่อได้รับหมายศาล หรือ ถูกฟ้องคดีแพ่ง อย่าเพิ่งตื่นตกใจ ให้คุณตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจน เช่น ใครเป็นผู้ฟ้อง ข้อกล่าวหาคืออะไร ต้องไปศาลวันไหน เวลาใด และศาลตั้งอยู่ที่ใด หมายศาลมักแนบสำเนาคำฟ้องมาด้วย ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจเนื้อหาของข้อพิพาท

2. อย่าละเลยหรือเพิกเฉย
การไม่ไปศาลตามวันเวลาที่กำหนด อาจทำให้ศาลพิจารณาคดีโดยที่คุณไม่อยู่ และอาจมีคำพิพากษาให้แพ้คดีได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้น ควรติดต่อศาลหรือทนายความโดยเร็วเพื่อแสดงความพร้อมในการต่อสู้คดี

3. ปรึกษาทนายความทันที
การมีทนายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทนายจะช่วยแนะนำสิทธิ หน้าที่ และแนวทางปฏิบัติได้ถูกต้องตามกฎหมาย ทนายยังสามารถช่วยร่างคำให้การหรือยื่นคำให้การต่อศาลแทนคุณได้อีกด้วย

4. เตรียมหลักฐานและพยาน
รวบรวมเอกสาร ข้อมูล หรือพยานบุคคลที่สามารถช่วยแสดงความบริสุทธิ์หรือข้อเท็จจริงฝ่ายคุณ เช่น สัญญา หนังสือรับรอง การสื่อสาร หรือหลักฐานการโอนเงิน ฯลฯ เพราะการมีหลักฐานที่ชัดเจนสามารถช่วยให้ศาลเห็นภาพรวมของคดีอย่างถูกต้อง

5. ไปศาลตามกำหนดและให้ความร่วมมือ
ควรแต่งกายสุภาพ ไปถึงศาลก่อนเวลา และให้ความเคารพต่อกระบวนการศาล พูดจาสุภาพ และหากมีคำถามควรสอบถามทนายก่อนการให้การหรือตอบคำถามในศาล

 

ประเภทรูปคดี เพื่อวางแนวทางการแก้ต่างคดีแพ่ง

 

  • คดีที่ไม่มีทางสู้ได้เลย เช่น ได้ไปกู้ยืมกันจริงและมีการคิดดอกเบี้ยตามที่กฎหมายกำหนด หรือ ผิดสัญญาคือได้รับเงินตามสัญญาแล้วแต่ไม่ยอมส่งมอบสิ้นค้าให้คู่สัญญา วิธีปฏิบัติเพื่อหาทางออก คือ ต้องไปเจรจาโดยส่งทนายความเข้าไปเจรจาไกล่เกลี่ย โดยขอต่อรองลดยอดจำนวนเงิน ขอลดดอกเบี้ย ขอแนวทางการผ่อนชำระ เมื่อคดีอยู่ชั้นศาลเมื่อให้ทนายความเข้าไปเจรจา ก็มักจะได้ขอเสนอที่พึงพอใจกับมา แต่ถ้าทางผู้ฟ้องไม่มีทางออกให้เลย ทนายความก็จะสู้คดีให้โดยไม่ได้หวังผลชนะคดี แต่เพื่อยื้อระยะเวลาให้นานที่สุด
  • คดีที่มีทางสู้ได้บางส่วน เช่น ถูกฟ้องคดีกู้ยืมเงินแต่ปรากฏว่าเราได้จ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่เกิดกฏหมายกำหนดมาตลอด หรือถูกฟ้องคดีละเมิดมาแต่ถูกเรียกค่าเสียหายมาสูงเกินจริง วิธีปฏิบัติ ทนายความจะยืนคำให้การเพื่อต่อสู้คดีไปตามความเป็นจริง สู้ว่าดอกเบี้ยที่คิดนั้นเกิดกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดหรือค่าเสียหายที่เรียกมาสูงเกินส่วน (เจรจาไกล่เกลี่ยและต่อสู้คดีไปพร้อมๆกัน)
  • คดีที่เราไม่ผิดแน่นอน รูปคดีชนะแน่นอนหรือโอกาศชนะสูงมาก เช่น ถูกฟ้องละเมิด แต่พนักงานสอบสวนหรือร้อยเวรชึ้แล้วว่าผู้ถูกฟ้องไม่ได้ประมาท พยานหลักฐานชี้เลยว่าผู้ถูกฟ้องไม่ได้ประมาท หรอกู้ยืมเงินกันแต่ปรากฏว่าเป็นสัญญากู้ปลอม วิธีปฏิบัติให้ทนายความต่อสู้คดีเลย ซึ่งต้องตั้งอยู่บนความเป็นจริงของรูปคดี
  • รูปคดีก้ำกึ่ง ถ้าชนะจะชนะทั้งหมด ผู้แพ้ก็จะแพ้ทั้งหมดเลย เช่น คดีเปิดทางจำเป็น ภาระจำยอม วิธีปฏิบัติ เจรจาไกล่เกลี่ยพูดคุยกัน ยกเว้นฝ่ายใดไม่ยินยอม ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล

เมื่อถูกฟ้องคดีแพ่ง จำเป็นต้องไปศาลได้หรือไม่

 

ทนายแนะนำให้จำเลยไปตามวันที่ศาลนัด ถ้าไม่ไปศาลจะเกิดผลเสียดังนี้

  • เสียสิทธิในการต่อสู้คดี เพราในคดีแพ่งถ้าได้เข้าไปต่อสู้คดีก็อาจจะชนะคดี เช่น หนี้ที่ที่ขาดอายุความ ซึ่งถ้าเกิดไม่ไปศาลโอกาศที่จะแพ้คดีก็มีสุง
  • เสียสิทธิในการเจรจาไกล่เกลี่ย ซึ่งการไกล่เกลี่ยเป็นโอกาศอันดีที่ได้พูดคุยกับคูกรณีขอผ่อนผันชำระหนี้หรือขอลดยอดหนี้
  • เมื่อศาลตัดสินให้แพ้คดี ก็จะต้องถูกยึดทรัพย์บังคับคดี
  • สรุปคือเมื่อได้รับหมายเรียกของศาลและคำฟ้องแล้ว ก็ต้องไปศาลตามนัด

 

วันนัดต่างๆในคดีแพ่ง ที่ผู้ถูกฟ้องควรรู้ คำศัพท์ที่ต้องรู้เวลาขึ้นศาล 

 

1.วันนัดไกล่เกลี่ยหรือวันนัดพร้อม การพูดคุยตกลงกันนั้นเป็นทางออกที่ดีที่สุด

วันนัดไกล่เกลี่ย คืออะไร

วันนัดไกล่เกลี่ย คือวันที่ศาลกำหนดให้คู่กรณีที่มีข้อพิพาทกัน เช่น คดีแพ่ง คดีครอบครัว หรือข้อพิพาททางธุรกิจ มาเจรจาตกลงกันโดยไม่ต้องพึ่งการตัดสินของศาล การไกล่เกลี่ยมีเป้าหมายเพื่อหาทางออกที่ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจและลดภาระในการดำเนินคดี ในวันนัดไกล่เกลี่ย คู่กรณีจะมาพบกันที่ศาลหรือสถานที่ที่กำหนด พร้อมกับเจ้าหน้าที่หรือผู้ไกล่เกลี่ยซึ่งเป็นบุคคลกลาง ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเจรจา โดยผู้ไกล่เกลี่ยจะไม่ตัดสินว่าฝ่ายใดผิดหรือถูก แต่จะช่วยเสนอทางเลือกและส่งเสริมให้เกิดการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ หากทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้ จะมีการจัดทำบันทึกข้อตกลง และศาลอาจให้การรับรองข้อตกลงนั้น ซึ่งมีผลบังคับตามกฎหมาย แต่หากตกลงกันไม่ได้ คดีก็จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาต่อไป การไกล่เกลี่ยถือเป็นทางเลือกที่ช่วยลดค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลา และลดความขัดแย้งในระยะยาว โดยเฉพาะในกรณีที่คู่กรณียังต้องมีความสัมพันธ์กันต่อในอนาคต เช่น ญาติ พี่น้อง หรือคู่สมรส.

วันนัดพร้อม คืออะไร

“วันนัดพร้อม” คือวันสำคัญที่ศาลกำหนดให้คู่ความทั้งสองฝ่ายมาปรากฏตัวต่อหน้าศาล เพื่อแสดงความพร้อมในการดำเนินคดี ไม่ว่าจะเป็นการฟ้องร้องคดีแพ่งหรือคดีอาญา โดยทั่วไปแล้ว วันนัดพร้อมจะเป็นวันแรก ๆ หลังจากศาลรับฟ้องคดี ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ศาลสอบถามข้อเท็จจริงเบื้องต้น ตรวจสอบว่าคู่ความมีข้อพิพาทใด และดูว่าคดีมีประเด็นข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่จำเป็นต้องพิจารณาอย่างไร ในวันนัดพร้อม ศาลจะสอบถามทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยว่าต้องการนำพยานหลักฐานใดเข้าสู่การพิจารณา และอาจมีการกำหนดวันนัดสืบพยานในอนาคตด้วย หากคู่ความทั้งสองฝ่ายมีการตกลงประนีประนอม ศาลก็สามารถพิจารณาให้คดีสิ้นสุดลงได้ในวันนั้นเช่นกัน การไปศาลในวันนัดพร้อมจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เพราะเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการดำเนินคดี และเป็นโอกาสให้ศาลรับฟังความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่ายอย่างเป็นธรรมก่อนจะเข้าสู่การไต่สวนในขั้นถัดไป

2.วันนัดชี้สองสถาน คือวันนัดเพื่อกำหนดความพร้อมในการสืบพยานของคู่ความเพื่อให้การสืบพยานรวดเร็วขึ้น  คำว่าชี้สองสถาน หมายความว่า สถานไหนที่เป็นประเด็นข้อพิพาทที่สามารถรับกันได้ แต่ประเด็นไหนที่รับไม่ได้ก็สืบพยานโดยเอาพยานหลักฐานมาต่อสู้คดีกัน

วันนัดชี้สองสถาน คืออะไร

วันนัดชี้สองสถาน คือกระบวนการหนึ่งในชั้นศาลที่ใช้ในคดีแพ่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คู่ความทั้งสองฝ่ายแสดงจุดยืนของตนต่อข้อพิพาทที่เกิดขึ้น และกำหนดประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ต้องพิสูจน์ในคดี โดยปกติจะเกิดขึ้นหลังจากที่คู่ความทั้งสองฝ่ายยื่นคำให้การต่อศาลเรียบร้อยแล้ว ในวันนัดนี้ ศาลจะเชิญทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยมาปรากฏตัวต่อหน้าศาล พร้อมทนายความ (ถ้ามี) เพื่อสอบถามและให้โอกาสในการเจรจาประนีประนอมกันก่อน หากไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลจะดำเนินการ “ชี้สองสถาน” คือ ชี้ให้เห็นถึงประเด็นข้อพิพาทที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกัน (ไม่ต้องพิสูจน์) และประเด็นที่ยังโต้แย้งกัน (ต้องพิสูจน์) การชี้สองสถานจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้การพิจารณาคดีมีประสิทธิภาพและใช้เวลาอย่างเหมาะสม อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้คู่ความได้เข้าใจแนวทางของคดีอย่างชัดเจนก่อนจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในศาลต่อไป

3.วันนัดสืบพยาน คือการเข้าสู่กระบวนนการนำพยานหลักฐานมาเสนอต่อศาล ซึ่งใช้ระเวลาไม่เกิน 1-3 วัน

วันนัดสืบพยาน คืออะไร

วันนัดสืบพยาน คือ วันที่ศาลกำหนดให้คู่ความในคดีความต่าง ๆ นำพยานหลักฐานมานำเสนอหรือเบิกความต่อหน้าศาล เพื่อประกอบการพิจารณาคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา โดยในวันดังกล่าว คู่ความทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยจะต้องนำพยานบุคคล พยานเอกสาร หรือพยานวัตถุ มาให้การหรือแสดงต่อศาลตามที่ได้ยื่นบัญชีพยานไว้ การสืบพยานเป็นขั้นตอนสำคัญในการพิจารณาคดี เพราะเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ศาลเห็นข้อเท็จจริงของคดีอย่างชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินคดีอย่างเป็นธรรม หากฝ่ายใดไม่สามารถนำพยานมาให้การตามวันนัดได้ อาจส่งผลเสียต่อรูปคดีของตนเอง หรือแม้กระทั่งถูกศาลตัดสิทธิ์ไม่ให้สืบพยานในประเด็นนั้น ๆ ดังนั้น วันนัดสืบพยานจึงเป็นวันสำคัญที่คู่ความไม่ควรมองข้าม และควรเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบ ทั้งการประสานงานกับพยาน การเตรียมเอกสาร และการปรึกษาทนายความ เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ.

4. วันนัดฟังคำพิพากษา หรือวันนัดฟังคำสั่ง ประมาณ 1-2 เดือน หลังทำการสืบพยานกันเสร็จสิ้นน ซึ่งนัดนี้ตัวความไม่จำเป็นต้องไป

วันนัดฟังคำพิพากษา คืออะไร

วันนัดฟังคำพิพากษา คือวันที่ศาลกำหนดขึ้นเพื่อให้คู่ความทั้งสองฝ่ายมาฟังคำตัดสินของศาลในคดีที่ได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา หลังจากที่มีการสืบพยานหรือรับฟังข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน ศาลจะใช้เวลาในการพิจารณาและวิเคราะห์หลักฐานต่าง ๆ ก่อนจะมีคำตัดสินออกมา ในวันดังกล่าว คู่ความต้องเดินทางไปยังศาลตามเวลาที่กำหนด หากไม่สามารถไปได้ต้องแจ้งเหตุผลอย่างชัดเจนต่อศาล มิฉะนั้นอาจมีผลกระทบต่อสิทธิในทางคดี เช่น อาจถือว่าสละสิทธิ์ในการอุทธรณ์ หรือศาลอาจดำเนินการตามสมควรต่อไป หากเป็นคดีอาญา จำเลยจะต้องมาศาลด้วยตนเอง เว้นแต่ศาลอนุญาตให้ส่งตัวแทนมารับฟังแทน วันนัดฟังคำพิพากษาจึงเป็นวันสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นวันที่ศาลจะชี้ขาดว่าใครเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะคดี และอาจมีผลต่อการดำเนินชีวิตหรือสิทธิทางกฎหมายในอนาคตของคู่ความอย่างมีนัยสำคัญ.

ช่องทางการติดต่อทนายความ เมื่อถูกฟ้องคดีแพ่ง

 

  • ทางโทรศัพท์ 02-125-2511
  • ทางไลน์ @tiwanonlaw
  • Facebook : สำนักงานทนายความติวานนท์
  • E-mail : info@tiwanonlaw.com
  • ขอแนะนำให้ท่าน มาพบทนายด้วยตนเองดีที่สุด เพราะการสอบข้อเท็จจริงที่ดีที่สุดระหว่างทนายความกับลูกความ คือการมานั่งคุยกันต่อหน้า
  • การคุยกันทางโทรศัพท์ ทางไลน์ ทางอีเมล์ อย่างไรเสียก็สู้มานั่งคุยกันต่อหน้าไม่ได้ เพราะทำให้เข้าใจข้อเท็จจริงต่างๆได้ละเอียดกว่า และสามารถซักถาม ทำความเข้าใจและจับกิริยาอาการต่างๆได้ดีที่สุด
  • แผนที่ สำนักงานทนายความติวานนท์
Scroll to Top