การ แต่งตั้งผู้จัดการมรดก คืออะไร
แต่งตั้งผู้จัดการมรดก จะกระทำได้เมื่อเจ้าของมรดกเสียชีวิต เมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งเสียชีวิต สิ่งที่ตามมาคือกระบวนการจัดการทรัพย์สินหรือ “มรดก” ของผู้เสียชีวิตให้เป็นไปตามกฎหมายหรือพินัยกรรมที่ได้จัดทำไว้ ในกระบวนการนี้จึงมีความจำเป็นต้องมี “ผู้จัดการมรดก” ซึ่งเป็นบุคคลที่ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้มีอำนาจในการบริหารและจัดการมรดกของผู้ตาย
การแต่งตั้งผู้จัดการมรดกสามารถเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ
-
มีพินัยกรรม ซึ่งในพินัยกรรมนั้นได้มีการระบุชื่อผู้จัดการมรดกไว้เรียบร้อยแล้ว ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียสามารถยื่นคำร้องต่อศาลให้แต่งตั้งบุคคลนั้นเป็นผู้จัดการมรดกตามเจตนาของผู้ตาย
-
ไม่มีพินัยกรรม หรือไม่มีการระบุชื่อผู้จัดการมรดกไว้ ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกได้ โดยศาลจะพิจารณาความเหมาะสมของบุคคลนั้นตามข้อเท็จจริง
หน้าที่ของผู้จัดการมรดก ได้แก่
-
รวบรวมทรัพย์สินของผู้ตาย
-
ชำระหนี้สินที่ค้างคา
-
แบ่งปันทรัพย์สินให้แก่ทายาทหรือผู้มีสิทธิ
-
จัดทำบัญชีและรายงานต่อศาล
การแต่งตั้งผู้จัดการมรดกนั้นจะต้องยื่นคำร้องต่อศาล พร้อมเอกสารต่าง ๆ เช่น มรณบัตร สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ตาย รายชื่อทายาท และรายละเอียดทรัพย์สิน การพิจารณาของศาลจะขึ้นอยู่กับความชัดเจนของข้อมูลและการคัดค้าน (ถ้ามี)
การมีผู้จัดการมรดกช่วยให้การแบ่งปันทรัพย์สินเป็นไปตามกฎหมาย ลดความขัดแย้งในครอบครัว และทำให้กระบวนการเป็นทางการ มีเอกสารยืนยันชัดเจน ทั้งนี้ ผู้จัดการมรดกมีความรับผิดชอบสูง จึงควรเป็นบุคคลที่ไว้วางใจได้ มีความซื่อสัตย์ และสามารถทำหน้าที่ได้อย่างตรงไปตรงมา
สรุปคือ “ผู้จัดการมรดก” คือผู้ที่ศาลแต่งตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่บริหารทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตให้เป็นไปตามกฎหมายหรือพินัยกรรม เป็นตำแหน่งสำคัญในกระบวนการจัดการมรดกที่ควรให้ความสำคัญและทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
คำถามที่พบบ่อย ในการยื่นขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก
เมื่อมีบุคคลเสียชีวิต ทรัพย์สินที่หลงเหลืออยู่จะกลายเป็นมรดกที่ต้องมีการจัดการตามกฎหมาย ซึ่งหนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือ การแต่งตั้งผู้จัดการมรดก เพื่อดำเนินการจัดการทรัพย์สิน ชำระหนี้สิน และแบ่งมรดกให้แก่ทายาทอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม หลายคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มักมีข้อสงสัยต่าง ๆ วันนี้เราจึงรวบรวม คำถามที่พบบ่อยในการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก มาอธิบายอย่างเข้าใจง่าย
1. ใครสามารถยื่นคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกได้?
ผู้ที่สามารถยื่นคำร้องต่อศาล ได้แก่
- ทายาทโดยธรรม เช่น คู่สมรส บุตร พ่อแม่ พี่น้อง
- ผู้มีส่วนได้เสีย เช่น เจ้าหนี้ ผู้รับพินัยกรรม
- บุคคลที่ถูกระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมให้เป็นผู้จัดการมรดก
2. แต่งตั้งผู้จัดการมรดกใช้เวลานานไหม?
- ประมาณ 45 – 60 วัน
3. ฟ้องเป็นผู้จัดการมรดกต้องไปศาลไหน?
- ศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลในขณะถึงแก่ความตาย ได้แก่ ศาลแพ่ง ศาลจังหวัด
4. ต้องใช้ทนายความหรือไม่?
- ไม่จำเป็นต้อง จ้างทนายความ หากเรื่องไม่ซับซ้อน เช่น ทายาทมีความเห็นตรงกัน ไม่มีข้อขัดแย้ง หรือไม่มีพินัยกรรมที่ต้องตีความ อย่างไรก็ตาม หากกรณีมีความยุ่งยาก การมี ทนายความ จะช่วยให้ดำเนินการได้ถูกต้องและรวดเร็วขึ้น
5. การขอเป็นผู้จัดการมรดก ทำเองได้ไหม?
- สามารถขอเป็นผู้จัดการมรดกได้ด้วยตนเอง
6. แต่งตั้งผู้จัดการมรดกใช้เอกสารอะไรบ้าง?
เอกสารที่ใช้ประกอบในการยื่นคำร้อง ได้แก่
- ใบมรณบัตร และทะเบียนบ้านของผู้ตาย
- ทะเบียนบ้าน บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก
- ใบมรณบัตรของบิดามารดาของผู้ตาย กรณีบิดามารดาถึงแก่ความตายแล้ว
- ทะเบียนสมรสหรือทะเบียนการหย่าของผู้ตาย
- เอกสารที่เกี่ยวข้อง กรณีทายาทรับมรดกแทนที่ / เจ้ามรดกมีการรับรองบุตร / เจ้ามรดกมีบุตรบุญธรรม
ใบสำคัญการเปลี่ยนชื่อชื่อสกุลของผู้ตาย ผู้ร้อง ทายาท และผู้มีส่วนได้เสีย ในทรัพย์มรดกของผู้ตาย - สูติบัตรของบุตรของผู้ตาย กรณีบุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ
- พินัยกรรมของผู้ตาย (ถ้ามี)
- หนังสือให้ความยินยอมในการร้องขอจัดการมรดกจากทายาท
- แผนผังบัญชีเครือญาติ
- เอกสารเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของผู้ตาย เช่น โฉนดที่ดิน สัญญาจำนอง ทะเบียนรถจักรยานยนต์ ทะเบียนรถยนต์ สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร เป็นต้น
5. สามารถคัดค้านการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกได้หรือไม่?
- สามารถทำได้ หากเห็นว่าผู้ร้องไม่เหมาะสม หรือมีเจตนาไม่สุจริต เช่น ปกปิดทรัพย์สิน ไม่เปิดเผยรายชื่อทายาททั้งหมด หรือมีพฤติกรรมขัดต่อเจตนาของผู้ตาย โดยต้องยื่นคำคัดค้านต่อศาลภายในวันที่นัดไต่สวน
7. ค่าทนายความแพงไหม?
- ค่าทนายความในการยื่นคำร้องแต่งตั้งผู้จัดการมรดกโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 15,000–30,000 บาท แล้วแต่ความซับซ้อนของคดี และขอบเขตการให้บริการของทนายความ
ผู้จัดการมรดก คือ ใครและทำหน้าที่อะไร
เมื่อมีบุคคลเสียชีวิต ทรัพย์สินที่เหลืออยู่ของผู้ตาย เช่น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ เงินฝาก หรือหนี้สิน จะกลายเป็น “มรดก” ซึ่งต้องมีการจัดการและแบ่งปันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หน้าที่นี้จึงตกเป็นของ “ผู้จัดการมรดก” ซึ่งเป็นบุคคลที่ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งขึ้นให้ดูแลและดำเนินการเกี่ยวกับมรดกของผู้ตายทั้งหมด
ผู้จัดการมรดกอาจเป็นบุคคลที่ผู้ตายระบุไว้ในพินัยกรรม หรืออาจเป็นทายาท ญาติ หรือบุคคลภายนอกที่ศาลเห็นว่าเหมาะสมและมีความสามารถในการจัดการทรัพย์สิน หากไม่มีพินัยกรรม ทายาทสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้แต่งตั้งผู้จัดการมรดกได้
หน้าที่ของผู้จัดการมรดกครอบคลุมหลายด้าน ได้แก่
-
รวบรวมทรัพย์สินของผู้ตาย ทั้งที่มีชื่อผู้ตายเป็นเจ้าของโดยตรง และทรัพย์สินอื่นที่เกี่ยวข้อง
-
ชำระหนี้สินของผู้ตาย เช่น หนี้ธนาคาร ค่ารักษาพยาบาล หรือภาระผูกพันอื่น ๆ
-
จัดการทรัพย์สินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ระหว่างกระบวนการจัดการมรดก
-
แบ่งปันทรัพย์สินให้แก่ทายาทหรือผู้มีสิทธิ ตามกฎหมายหรือพินัยกรรม
-
จัดทำบัญชีรายงานต่อศาล ว่ามีการจัดการทรัพย์สินอย่างไรบ้าง และเหลืออยู่เท่าไรเพื่อแบ่งปัน
ผู้จัดการมรดกจึงมีบทบาทสำคัญในการทำให้การจัดการมรดกเป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และถูกต้องตามกฎหมาย บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งต้องมีความซื่อสัตย์ รอบคอบ และยินดีรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง เพราะหากเกิดความผิดพลาดหรือทุจริต อาจถูกทายาทฟ้องร้องได้
กล่าวโดยสรุป ผู้จัดการมรดกคือบุคคลที่ศาลแต่งตั้งให้มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของผู้ตายอย่างถูกต้องตามกระบวนการกฎหมาย และเป็นผู้ช่วยให้การแบ่งปันมรดกเป็นไปโดยเรียบร้อย ลดข้อขัดแย้งระหว่างทายาท และคุ้มครองผลประโยชน์ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ยื่นคำร้องตั้งผู้จัดการมรดก ด้วยตนเองได้หรือไม่
เมื่อมีบุคคลในครอบครัวเสียชีวิตและทิ้งทรัพย์สินไว้ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่ดิน รถยนต์ หรือเงินฝาก การจะจัดการทรัพย์สินเหล่านั้นให้ถูกต้องตามกฎหมาย จำเป็นต้องมีการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอ “ตั้งผู้จัดการมรดก” คำถามที่พบบ่อยคือ บุคคลทั่วไปสามารถยื่นคำร้องด้วยตนเองได้หรือไม่ คำตอบคือ สามารถทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีทนายความ แต่ต้องมีความเข้าใจขั้นตอนและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน
ตามกฎหมาย บุคคลที่มีสิทธิยื่นคำร้อง ได้แก่ ทายาทโดยธรรม ผู้มีส่วนได้เสีย หรือบุคคลที่ผู้ตายระบุไว้ในพินัยกรรม ซึ่งสามารถไปยื่นคำร้องที่ศาลที่ภูมิลำเนาของผู้ตายครั้งสุดท้าย หรือที่ทรัพย์มรดกตั้งอยู่
เอกสารที่ต้องเตรียมประกอบการยื่นคำร้อง เช่น
-
ใบมรณบัตรของผู้ตาย
-
สำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประชาชนของผู้ร้อง
-
รายชื่อทายาททั้งหมด
-
หลักฐานทรัพย์สิน เช่น โฉนดที่ดิน สำเนาสมุดบัญชี
-
พินัยกรรม (ถ้ามี)
-
หนังสือยินยอมจากทายาทคนอื่น (ถ้ามี)
หลังจากยื่นคำร้อง ศาลจะกำหนดวันนัดไต่สวน โดยผู้ร้องจะต้องไปเบิกความว่าเหตุใดจึงต้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก และชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินและทายาททั้งหมด หากไม่มีการคัดค้าน ศาลอาจมีคำสั่งแต่งตั้งในวันนั้นเลย หรือภายในไม่กี่วันถัดมา
แม้ว่าจะสามารถยื่นคำร้องด้วยตนเองได้ แต่หากมีข้อพิพาทเกี่ยวกับพินัยกรรม มีทายาทจำนวนมาก หรือมีผู้คัดค้าน อาจพิจารณาให้ทนายความช่วยดำเนินการ เพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น
สรุปคือ การยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกสามารถทำได้ด้วยตนเอง หากเตรียมเอกสารครบถ้วนและไม่มีข้อขัดแย้ง แต่หากเรื่องซับซ้อน การปรึกษาทนายความก็เป็นทางเลือกที่ดีในการป้องกันปัญหาในอนาคต
ใครมีสิทธิ ยื่นคำร้องตั้งผู้จัดการมรดก ได้บ้าง
เมื่อบุคคลหนึ่งเสียชีวิตและทิ้งทรัพย์สินไว้ การจัดการทรัพย์สินเหล่านั้นตามกฎหมายต้องผ่านขั้นตอนการยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอแต่งตั้ง “ผู้จัดการมรดก” ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการบริหารทรัพย์สินและแบ่งปันให้ทายาทตามสิทธิ โดยไม่จำเป็นต้องมีพินัยกรรมก็สามารถดำเนินการได้
บุคคลที่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาล ได้แก่
-
ทายาทโดยธรรม เช่น คู่สมรส บุตร บิดามารดา พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
-
ผู้มีส่วนได้เสีย เช่น ผู้รับพินัยกรรม หรือเจ้าหนี้ของผู้ตาย
-
ผู้ที่ระบุไว้ในพินัยกรรม ให้เป็นผู้จัดการมรดก
การยื่นคำร้องต้องทำต่อศาลที่ผู้ตายมีภูมิลำเนาครั้งสุดท้าย หรือที่ซึ่งทรัพย์มรดกตั้งอยู่ ผู้ร้องควรเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน เช่น ใบมรณบัตร รายชื่อทายาท และหลักฐานทรัพย์สิน เพื่อให้ศาลพิจารณาและมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
ยื่นคำร้องตั้งผู้จัดการมรดก จำเป็นต้องใช้ทนายความไหม
หลายคนสงสัยว่า หากต้องการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก จำเป็นต้องจ้างทนายความหรือไม่ คำตอบคือ ไม่จำเป็นต้องมีทนายความก็สามารถยื่นคำร้องได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะในกรณีที่เรื่องไม่ซับซ้อน เช่น มีทายาทไม่มาก ไม่มีข้อโต้แย้ง หรือไม่มีพินัยกรรมที่ซับซ้อน
ผู้ร้องสามารถไปยื่นคำร้องต่อศาลที่ผู้ตายมีภูมิลำเนาครั้งสุดท้าย พร้อมเอกสารที่จำเป็น เช่น ใบมรณบัตร รายชื่อทายาท หลักฐานทรัพย์สิน และหนังสือยินยอมจากทายาทคนอื่น (ถ้ามี) จากนั้นรอวันนัดไต่สวน ซึ่งผู้ร้องจะต้องให้การต่อหน้าศาล
อย่างไรก็ตาม หากกรณีมีความยุ่งยาก เช่น มีข้อพิพาท มีการคัดค้าน หรือมีพินัยกรรมที่ตีความได้หลายแง่มุม การมีทนายความช่วยดำเนินการจะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้กระบวนการดำเนินไปอย่างถูกต้องและราบรื่นมากยิ่งขึ้น
เราสามารถขอคัดค้านการจัดการมรดกได้หรือไม่
หากมีการยื่นคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกต่อศาล และคุณเป็นหนึ่งในทายาท หรือผู้มีส่วนได้เสียในมรดกนั้น คุณมีสิทธิ คัดค้าน การจัดการมรดกได้ หากเห็นว่าการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกดังกล่าวไม่เหมาะสม หรืออาจกระทบต่อสิทธิของคุณ
ตัวอย่างเหตุผลในการคัดค้าน เช่น
-
ผู้ร้องไม่เปิดเผยรายชื่อทายาททั้งหมด
-
มีการปกปิดหรือไม่แสดงรายการทรัพย์สินครบถ้วน
-
ผู้จัดการมรดกที่เสนอชื่ออาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือไม่น่าไว้วางใจ
-
พินัยกรรมที่ใช้ยื่นคำร้องอาจไม่ถูกต้อง หรือมีข้อพิรุธ
การคัดค้านต้องกระทำภายในกำหนดนัดไต่สวนของศาล โดยคุณต้องยื่นคำแถลงคัดค้าน พร้อมหลักฐานประกอบ และอาจต้องเข้าร่วมการไต่สวนเพื่อชี้แจงรายละเอียดต่อศาล
ดังนั้น หากคุณเห็นว่าการจัดการมรดกไม่ชอบธรรม ควรใช้สิทธิคัดค้านอย่างเหมาะสมและอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย เพื่อปกป้องสิทธิของตนเองอย่างถูกต้อง
แต่งตั้งผู้จัดการมรดก ค่าทนายความเท่าไหร่
การยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อแต่งตั้งผู้จัดการมรดก แม้สามารถทำได้ด้วยตนเอง แต่หลายคนเลือกใช้บริการทนายความเพื่อความสะดวกและมั่นใจว่ากระบวนการจะถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งนำมาสู่คำถามที่พบบ่อยคือ ค่าทนายความในการดำเนินเรื่องนี้อยู่ที่เท่าไหร่
โดยทั่วไป ค่าทนายความในการยื่นคำร้องแต่งตั้งผู้จัดการมรดกจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 – 30,000 บาท ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของคดี ปริมาณทรัพย์สิน จำนวนทายาท และว่ามีข้อโต้แย้งหรือไม่ หากมีการคัดค้าน หรือมีพินัยกรรมที่ต้องตีความ ค่าทนายความอาจสูงขึ้นตามความยากของคดี
นอกจากค่าทนาย ยังมี ค่าธรรมเนียมศาล และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็กอื่น ๆ เช่น ค่าเดินทาง ค่าพยาน หรือค่าจัดเตรียมเอกสารเพิ่มเติม ผู้ยื่นคำร้องควรสอบถามและตกลงค่าบริการกับทนายความให้ชัดเจนก่อนว่าครอบคลุมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
การจ้างทนายแม้มีค่าใช้จ่าย แต่ช่วยให้การดำเนินการเป็นระบบ ป้องกันความผิดพลาด และลดความขัดแย้งในครอบครัวได้ในระยะยาว ช่องทางการติดต่อทนายความ
- ทางโทรศัพท์ 02-125-2511
- ทางไลน์ @tiwanonlaw
- Facebook : สำนักงานทนายความติวานนท์
- E-mail : info@tiwanonlaw.com
- ขอแนะนำให้ท่าน มาพบทนายด้วยตนเองดีที่สุด เพราะการสอบข้อเท็จจริงที่ดีที่สุดระหว่างทนายความกับลูกความ คือการมานั่งคุยกันต่อหน้า
- การคุยกันทางโทรศัพท์ ทางไลน์ ทางอีเมล์ อย่างไรเสียก็สู้มานั่งคุยกันต่อหน้าไม่ได้ เพราะทำให้เข้าใจข้อเท็จจริงต่างๆได้ละเอียดกว่า และสามารถซักถาม ทำความเข้าใจและจับกิริยาอาการต่างๆได้ดีที่สุด
- แผนที่ สำนักงานทนายความติวานนท์