ทนายความ สำนักงานทนายความ ใกล้ฉัน ปรึกษาทนายฟรี

ทนาย

ทนายความ คือ ใคร ทำหน้าที่อะไรบ้าง

 

ทนายความ คือ ผู้ที่มีใบอนุญาตในการให้ว่าความในศาล ทนายความจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ทางด้านกฎหมาย และมีจริยธรรมในการประกอบอาชีพ ทนายความ เป็นอาชีพที่มีเกียรติ เป็นที่พึ่งของประชาชน โดยทั่วไปทนายความมักจะทำงานอยู่ใน สำนักงานทนายความ ซึ่งประกอบด้วยทีมงานหลายคนที่แบ่งหน้าที่กันทำงาน เพื่อผลประโยชน์ของลูกความ ทนายความ จะทำหน้าที่ในการช่วยลูกความในศาล หากลูกความเป็นโจทก์ ทนายความจะเป็นคนเขียนคำฟ้องและยื่นบัญชีพยาน พร้อมนำลูกความเข้าสืบและนำเสนอประเด็นข้อพิพาทให้ศาลทราบ

หากลูกความเป็นจำเลย ทนายความจะทำหน้าที่พูดคุยกับจำเลย รวบรวมข้อมูล เขียนคำให้การของจำเลย  รวบรวมพยาน หลักฐาน เพื่อนำสืบในชั้นศาล รวมทั้งการถามค้านพยานของโจทย์ ในประเด็นข้อพิพาท เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงจากทั้งโจทย์และจำเลย ให้ศาลทราบข้อมูลอย่างครบถ้วน ในทุกมุมมอง

Note : หากท่านต้องการสอบถามค่าจ้างทนายความในการฟ้องคดี อ่านเพิ่มที่ ค่าจ้างทนาย


ทนายความ คือ ใคร ทำหน้าที่อะไรบ้าง

ทนายความ คือ บุคคลที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และได้รับการฝึกอบรมและใบอนุญาตให้ดำเนินการเป็นตัวแทนของลูกความในกระบวนการทางกฎหมาย ทนายความทำหน้าที่ให้คำปรึกษา แนะนำ และเป็นผู้ที่ดำเนินการต่อสู้ในคดีต่าง ๆ ทั้งในศาลและนอกศาล เพื่อให้ลูกความได้รับความเป็นธรรมตามกฎหมาย

การทำงานของทนายความมีหลายด้าน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ตามประเภทของคดีที่ทนายความรับผิดชอบ เช่น คดีแพ่ง คดีอาญา คดีครอบครัว คดีมรดก หรือคดีธุรกิจ แต่ละประเภทของคดีต้องใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน ดังนั้นทนายความจะมีความชำนาญเฉพาะด้านในการให้คำปรึกษาและการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายในแต่ละคดี

หน้าที่หลักของทนายความ

  1. การให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย
    ทนายความมีหน้าที่ให้คำปรึกษาทางกฎหมายกับลูกความเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ช่วยแนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาทางกฎหมายหรือเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในสถานการณ์ต่างๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกความตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา ทนายความจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับสิทธิในการปกป้องตัวเอง หรือในคดีแพ่งจะช่วยแนะนำวิธีการฟ้องร้องหรือตอบโต้คดีที่เกิดขึ้น
  2. การจัดเตรียมเอกสารทางกฎหมาย
    ทนายความมีหน้าที่ในการจัดทำเอกสารทางกฎหมายที่จำเป็นสำหรับคดี ไม่ว่าจะเป็นคำฟ้อง คำร้อง หรือข้อตกลงทางกฎหมายต่าง ๆ การจัดเตรียมเอกสารเหล่านี้ต้องอาศัยความละเอียดและความรู้ทางกฎหมาย เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายและสามารถใช้ในกระบวนการศาลได้
  3. การเป็นตัวแทนในศาล
    ทนายความจะเป็นตัวแทนของลูกความในศาลเพื่อดำเนินการฟ้องคดี หรือปกป้องสิทธิของลูกความจากข้อกล่าวหาต่าง ๆ โดยจะทำหน้าที่เสนอมุมมอง การนำเสนอพยานหลักฐาน และการแสดงข้อโต้แย้งในศาล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อลูกความ
  4. การเจรจาต่อรองและประนีประนอม
    ในหลายๆ คดีทนายความมีหน้าที่ในการเจรจาต่อรองระหว่างคู่กรณี เพื่อหาข้อยุติที่เป็นมิตร หรือสามารถทำข้อตกลงกันได้โดยไม่ต้องไปถึงศาล เช่น การทำข้อตกลงชำระหนี้ในคดีแพ่ง หรือการเจรจาประนีประนอมในคดีครอบครัว
  5. การติดตามและดำเนินการหลังการตัดสิน
    หลังจากศาลมีคำพิพากษา ทนายความจะดำเนินการตามคำพิพากษาของศาล เช่น การช่วยในการบังคับคดีให้ลูกความได้รับเงินหรือทรัพย์สินตามคำพิพากษา หรือการยื่นอุทธรณ์หรือคำร้องขอให้ศาลพิจารณาใหม่ในกรณีที่ลูกความไม่พอใจคำตัดสิน

คุณสมบัติของทนายความ

ทนายความจะต้องมีคุณสมบัติหลายด้าน เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบไปด้วย:

  • ความรู้ทางกฎหมาย ทนายความต้องมีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายทั้งในระดับทฤษฎีและการปฏิบัติ
  • ทักษะการสื่อสาร ทนายความต้องสามารถสื่อสารกับลูกความ ศาล และคู่ความได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
  • ความละเอียดรอบคอบ ในการศึกษาข้อมูล ค้นหาหลักฐาน และเตรียมเอกสารต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง
  • ทักษะในการเจรจาต่อรอง ทนายความต้องสามารถเจรจากับคู่กรณีได้ดี เพื่อหาทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับลูกความ

ทนายความและอัยการ ต่างกันอย่างไร

มีหลายคนอาจเข้าใจว่า “ทนายความ” และ “อัยการ” เป็นอาชีพที่เหมือนกัน เพราะทั้งสองต่างก็ทำงานเกี่ยวข้องกับกฎหมายและคดีความ แต่ความจริงแล้ว ทนายความและอัยการมีบทบาท หน้าที่ และสถานะที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งการเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้ประชาชนสามารถเลือกใช้บริการทางกฎหมายได้อย่างเหมาะสม

ทนายความ คือ ผู้ที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่ประชาชนทั่วไป ทั้งในคดีแพ่ง คดีอาญา หรือคดีปกครอง รวมถึงเป็นผู้แทนของลูกความในกระบวนการยุติธรรม เช่น การเจรจา การยื่นฟ้อง การว่าความในศาล หรือการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย ทนายความอาจทำงานในสำนักงานกฎหมายของตนเอง เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับบริษัทเอกชน หรือรับว่าความอิสระให้กับบุคคลทั่วไป โดยทนายความต้องผ่านการอบรมและสอบจากสภาทนายความ เพื่อขอรับใบอนุญาตเป็น “ทนายความ” อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

อัยการ คือ ข้าราชการในสังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด มีหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐในการฟ้องคดีอาญา กล่าวคือ เมื่อมีการกระทำความผิดทางอาญา อัยการจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ และเป็นผู้นำคดีไปฟ้องต่อศาล อัยการไม่ทำหน้าที่แทนประชาชนทั่วไปเหมือนทนายความ แต่จะดูแลผลประโยชน์ของสาธารณะหรือรัฐ เช่น ฟ้องคดีอาญา คดีปกครอง หรือคดีภาษีแทนกรมสรรพากร เป็นต้น อัยการต้องสอบแข่งขันเพื่อเข้ารับราชการ และผ่านการอบรมเฉพาะทางของสำนักงานอัยการ

สรุปคือ ทนายความทำงานแทนฝ่ายเอกชนหรือประชาชนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นโจทก์หรือจำเลย ส่วนอัยการทำงานแทนรัฐ โดยเฉพาะในคดีอาญา ซึ่งจะเป็นผู้ฟ้องจำเลยในนามของประชาชน ทั้งสองอาชีพมีบทบาทสำคัญในกระบวนการยุติธรรม แต่มีจุดมุ่งหมายและขอบเขตหน้าที่ที่แตกต่างกันชัดเจน การเข้าใจความแตกต่างของทั้งสองวิชาชีพนี้ จะช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น.


กล่าวโดยสรุป

ทนายความเป็นผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญในการช่วยเหลือลูกความที่เป็นบุคคล หรือ นิติบุคคล ในภาคเอกชน ในการแก้ไขปัญหาทางกฎหมาย ทั้งในด้านการให้คำปรึกษา การเป็นตัวแทนในศาล และการเจรจาต่อรอง ทนายความที่ดีจะสามารถปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของลูกความได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายที่ถูกต้องและยุติธรรม

 

กว่าจะเป็นทนายความ ต้องเรียนจบอะไรมาบ้าง

 

ทนายความ เรียนอะไรมาบ้าง หลายคนสงสัยว่า กว่าจะเป็นทนายความ ต้องจบอะไรมาบ้าง การที่เป็นทนายความได้ จะต้องผ่านการเรียนปริญญาตรี สาขานิติศาสตร์บัณฑิต หลักสูตร 4 ปี ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทย มหาวิทยาลัยทั่วประเทศได้เปิดคณะนิติศาสตร์ เกือบจะทุกที่แล้ว เพื่อรองรับนักกฎหมายรุ่นใหม่ๆเข้ามา ดูรายชื่อ มหาวิทยาลัยที่เปิดคณะนิติศาสตร์

เมื่อเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ต้องเตรียมตัวสอบเพื่อขอใบอนุญาตว่าความ ที่จะเรียกทั่วๆไปมีอยู่ 2 ชนิด คือ

  1. ตั๋วรุ่น คือการอบรม 16 วันแล้วสอบภาคทฤษฎีถ้าสอบผ่านก็จะต้องฝึกงานเป็นเวลา 6 เดือนแล้วสอบภาคปฏิบัติ

    (อบรม >> สอบทฤษฎี >> ฝึกงาน 6เดือน >> สอบปฏิบัติ)

     

  2. ตั๋วปี หมายถึงต้องฝึกงานทนายก่อน 1 ปี จึงจะมีสิทธิ์สอบตั๋วทนายได้ ซึ่งเป็นการสอบโดยใช้แบบฟอร์มจริงเพราะถือว่าฝึกทนายมาแล้ว
    (ฝึกงาน 1 ปี >> สอบปฏิบัติ)
ขอขยายความประเด็นตั๋วปีและตั๋วรุ่น เพิ่มเติม ดังนี้
  • ตั๋วปี
1.เมื่อเรียนจบนิติศาสตร์เรียบร้อยแล้ว และมีใบรับรองสภามหาวิทยาลัยว่าจบจริง
2.เลือกหาสถานที่ฝึกงานเป็นสำนักงานกฎหมายที่มีทนายความผู้มีอายุตั๋วทนาย 7 ปีขึ้นไป
3.นำเอกสารจากสภาทนายไปให้หัวหน้าสำนักงานนั้นรับรองว่าเราเริ่มฝึกงานตั้งแต่เมื่อไหร่ จากนั้นก็เริ่มฝึกงานทนายนั้น 1 ปี
4. ฝึกงานครบ 1 ปีหากสภาทนายเปิดสอบตั๋วปีให้เราไปสมัครสอบถ้าพร้อมแต่หากไม่พร้อมก็รอรอบหน้า
5.สอบภาคปฏิบัติ ที่เรียกแบบนี้ก็เพราะทุกอย่างเราจะใช้แบบฟอร์มจริง เพราะถือว่า ผ่านงานกันมาแล้ว 1 ปี โดยมีข้อสอบ 1 ถึง 2 หน้าแต่มีคำสั่งในนั้น 5 ถึง 6 ข้อ และยังมีข้อสอบปรนัยอีก 20 ข้อ โดยส่วนใหญ่มักเกี่ยวกับงานปฏิบัติโดยแท้ เช่นถามเกี่ยวกับศาลชำนาญพิเศษ เป็นต้น
6.ถ้าสอบผ่าน 50% จะมีสิทธิ์สอบปากเปล่าและอบรมจริยธรรมได้ใบประกาศฯ จากนั้นเราไปสมัครสมาชิกเนติบัณฑิตไทยสามัญหรือวิสามัญสมาชิกแล้วนำมาประกอบการขึ้นตั๋วทนาย
7.ถ้าหากสอบตกก็รอ การเปิดสอบตั๋วปีครั้งต่อไป
  • ตั๋วรุ่น
1.เมื่อเรียนจบนิติศาสตร์เรียบร้อยแล้ว และมีใบรับรองสภามหาวิทยาลัยว่าจบ เช่นเดียวกันกับตั๋วปี
2.รอสภาทนายเปิดสมัครอบรมตั๋วรุ่น จากนั้นก็ไปสมัครอบรม จะมีการแจกเอกสารด้วย สภาฯจะจัดให้มีการอบรมที่กรุงเทพประมาณ 17 วันเราถือเอกสารที่แจกในวันสมัครนั่นแหละมาอบรม
3.อบรมครบแล้ว สภาฯจะเปิดสอบภาคทฤษฎี ข้อสอบก็จะมี 1 ถึง 2 หน้า พร้อมคำสั่งมา 5-6 ข้อ ตรงนี้คะแนนเต็ม 80 คะแนน แต่มีปรนัยด้วย 20 ข้อ รวมเป็น 100 คะแนน
4.ถ้าสอบผ่าน 50% จะมีสิทธิ์ไปฝึกงาน 6 เดือน (ซึ่งวิธีก็จะเหมือนกับการสมัครลงฝึกงานตั๋วปี) แต่ถ้าตกก็รอรุ่นหน้าเปิด จ่ายครึ่งเดียวเพราะเราเป็นนักศึกษาเก่า
5.ฝึกงาน 6 เดือน
6.สภาทนายจัดอบรมก่อนสอบ 10 วัน จากนั้นสอบภาคปฏิบัติ ซึ่งมันก็มาแนวตั๋วปีเป๊ะเลย
7.ถ้าสอบผ่าน 50% จะมีสิทธิ์สอบปากเปล่าและอบรมจริยธรรมได้ใบประกาศฯ จากนั้นเราไปสมัครสมาชิกเนติบัณฑิตไทยสามัญหรือวิสามัญสมาชิกแล้วนำมาประกอบการขึ้นตั๋วทนาย
8.ถ้าตกก็รอรุ่นหลังที่เค้าจะสอบภาคปฏิบัติค่า จ่ายครึ่งเดียวเช่นเดิม

อยากเป็นทนายความ ต้องเรียนอะไรบ้างการเป็นทนายความถือเป็นอาชีพที่มีความสำคัญและท้าทายในการช่วยเหลือประชาชนในด้านกฎหมาย โดยทนายความทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษา ร่างเอกสารทางกฎหมาย และเป็นตัวแทนของลูกความในศาล หากใครต้องการที่จะเป็นทนายความต้องผ่านการเรียนรู้และการฝึกฝนอย่างหนักในหลายด้าน ตั้งแต่การศึกษาระดับปริญญาตรีจนถึงการสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความ ซึ่งจะต้องมีการเรียนรู้และผ่านการฝึกอบรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและกระบวนการศาล

1. การศึกษาระดับปริญญาตรี (ปริญญาตรีกฎหมาย)

ขั้นตอนแรกในการเป็นทนายความคือการเรียนจบปริญญาตรีในสาขากฎหมาย หลักสูตรปริญญาตรีกฎหมายหรือ “นิติศาสตร์” มักจะใช้เวลาเรียนประมาณ 4 ปี ในหลักสูตรนี้ นักศึกษาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายธุรกิจ กฎหมายรัฐธรรมนูญ รวมถึงหลักกฎหมายระหว่างประเทศ การเรียนในสาขานี้เน้นไปที่การเข้าใจทฤษฎีและการประยุกต์ใช้กฎหมายในทางปฏิบัติ

นอกจากนี้ นักศึกษายังจะได้เรียนรู้ทักษะที่สำคัญในการเป็นทนายความ เช่น การวิเคราะห์ปัญหากฎหมาย การหาข้อมูลกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การเขียนเอกสารทางกฎหมาย และการอภิปรายคดีต่างๆ การฝึกปฏิบัติในด้านทักษะการพูดและการเจรจาต่อรองก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการเตรียมตัวเป็นทนายความที่มีประสิทธิภาพ

2. การฝึกอบรมหรือการศึกษาต่อหลังปริญญาตรี

หลังจากที่นักศึกษาจบปริญญาตรีด้านกฎหมายแล้ว สิ่งที่สำคัญต่อไปคือการฝึกอบรมหรือการศึกษาต่อเพื่อเตรียมตัวในการเป็นทนายความ ซึ่งในประเทศไทยผู้ที่ต้องการจะเป็นทนายความต้องเข้าร่วมหลักสูตร “การฝึกอบรมวิชาชีพทนายความ” ซึ่งจัดโดยสำนักอบรมวิชาชีพทนายความ หรือที่เรียกว่า “สำนักอบรมทนายความ” โดยหลักสูตรนี้มีระยะเวลา 6 เดือน

ในหลักสูตรการฝึกอบรมนี้ ผู้เรียนจะได้รับการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติในด้านต่าง ๆ เช่น การทำสัญญาทางกฎหมาย การฟ้องคดี การพิจารณาคดี การทำการเจรจาต่อรอง การดูแลลูกความในกระบวนการทางกฎหมาย รวมถึงการเตรียมตัวในการปฏิบัติงานในสำนักงานกฎหมาย หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกอบรมจะต้องสอบวัดความรู้ก่อนจบหลักสูตร

3. การสอบใบอนุญาตทนายความ

เมื่อจบการฝึกอบรมแล้ว ทนายความยังต้องผ่านการสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความ ซึ่งเป็นการทดสอบความรู้และทักษะทางกฎหมายที่เรียนมาในการศึกษาระดับปริญญาตรีและการฝึกอบรมการเป็นทนายความ การสอบนี้จะทดสอบความรู้ทั้งในด้านกฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง กฎหมายธุรกิจ การพิจารณาคดี และทักษะอื่น ๆ ที่จำเป็นในการทำงานเป็นทนายความ

การสอบใบอนุญาตทนายความในประเทศไทยจะจัดขึ้นโดยสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย โดยจะมีการสอบเป็นระยะๆ ทนายความที่ผ่านการสอบจะได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความ ซึ่งทำให้สามารถทำงานเป็นทนายความในสำนักงานกฎหมายหรือเปิดสำนักงานทนายความของตัวเองได้

4. การฝึกงานในสำนักงานกฎหมาย

หลังจากที่ได้รับใบอนุญาตทนายความแล้ว ทนายความใหม่จะต้องทำการฝึกงานในสำนักงานกฎหมายหรือร่วมงานกับทนายความที่มีประสบการณ์ เพื่อให้มีทักษะในการทำงานจริงและเข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ในการทำคดีต่าง ๆ ในโลกแห่งความเป็นจริง การฝึกงานนี้อาจใช้ระยะเวลาหลายเดือน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแต่ละบุคคล

5. การเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

การเป็นทนายความที่ประสบความสำเร็จไม่ได้หยุดเพียงแค่การเรียนจบหรือสอบใบอนุญาตเท่านั้น ทนายความยังต้องมีการพัฒนาความรู้และทักษะทางกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยการเข้าร่วมการอบรมหลักสูตรการพัฒนาวิชาชีพทนายความ การศึกษากฎหมายใหม่ ๆ และการติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย รวมถึงการเรียนรู้จากประสบการณ์ในคดีต่าง ๆ

สรุป

การเป็นทนายความนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยต้องผ่านการศึกษาที่มีระยะเวลานาน การฝึกอบรมที่เข้มข้น และการสอบที่ท้าทาย ทนายความต้องมีความรู้ทางกฎหมายที่ลึกซึ้งและทักษะการทำงานที่ยอดเยี่ยม เพื่อให้สามารถช่วยเหลือลูกความในทุกกระบวนการทางกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและยุติธรรม

ทนายความ รายได้เท่าไหร่ เป็นทนายแล้วรวย จริงไหม

ทนายความ ที่พึ่งเริ่มต้นสายอาชีพ หลังจากเรียนจบใหม่ เมื่อสอบผ่านและได้รับใบอนุญาตให้ว่าความแล้ว มีแนวทางการประกอบอาชีพ อยู่หลักๆ  3 แนวทาง คือ

 

  1. เป็นข้าราชการในตำแหน่งนิติกร ทำงานด้านกฎหมาย เช่น เจ้าพนักงานบังคับคดี เป็นต้น แต่ที่ไทยจะไม่มีข้าราชการในตำแหน่ง ทนายความ มีตำแน่งราชการที่ทำงานแบบเดียวกันกับทนาย เราจะเรียกชื่อตำแหน่งว่า อัยการ คือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นทนายความของแผ่นดิน  โดยเงินเดือนอัยการผู้ช่วย ซึ่งเป็นข้าราชการอัยการชั้น 1 จะมีรายได้

    • อัตราเงินเดือนเริ่มต้น 25,000 – 26,930 บาท
    • เงินประจำตำแหน่ง 10,000 บาท
    • แต่ถ้าได้เป็นอัยการสูงสุดเป็นข้าราชการอัยการชั้น 8 จะมีรายได้
      • อัตราเงินเดือน 81,920 บาท
      • เงินประจำตำแหน่ง 50,000 บาท
  2. เป็นทนายที่ทำงานประจำกับบริษัทเอกชน หรือ สำนักงานทนายความ ทนายความที่จบใหม่รายได้เริ่มต้นประมาณ 20,000 บาท ถ้ามีความสามารถสูงขึ้นจนเป็นผู้บริหารสายงานกฎหมาย รายได้จะประมาณ 100,000 – 200,000 บาท ขึ้นกับแต่ละองค์กร
  3. เป็นทนายความอิสระ โดยการเปิดสำนักงานทนายความเอง รายได้ขึ้นอยู่กับจำนวนลูกความ เริ่มแรก อาจจะมีรายได้ประมาณ 20,000 บาท/เดือน ถ้าหากมีลูกความมากขึ้นก็มีรายได้สูงขึ้นตาม ทนายความบางคนอาจทำรายได้ประมาณ 100,000 – 200,000 บาท/เดือน รวมทั้งหากสามารถจัดตั้งเป็นบริษัท และมีทนายความคนอื่นมาช่วยทำงาน ก็อาจมีรายได้หลักล้านบาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับความสามารถของคนในองค์กร 

ลักษณะงานของทนายความ

 

       ทนายความจะทำหน้าที่ว่าความคดีอาญาและคดีแพ่ง ให้คำแนะนำแก่ลูกความเกี่ยวกับปัญหาบุคคลและธุรกิจในแง่ของ จัดการรายละเอียดด้านกฎหมายในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดีความแทนลูกความในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล งานของทนายความคือการปกป้องคุ้มครองลูกความ(ผู้ว่าจ้างทนาย) ด้วยการชี้แจ้งข้อกฎหมาย เพื่อแสดงให้เห็นว่าลูกความของตนไม่มีความผิด ทนายยังสามารถจำแนกได้อีกหลายสาขา เช่น

  • ทนายความด้านสิ่งแวดล้อม ดูแลคดีและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องทางสิ่งแวดล้อม เช่น ทำงานให้กับกลุ่มผู้สนับสนุนสิ่งแวดล้อม บริษัทกำจัดขยะหรือหน่วยงานรัฐในการช่วยดูแลข้อกฎหมายต่างๆ
  • ทนายความด้านภาษีอากร ดูแลกรณีที่เกี่ยวข้องกับภาษีให้กับบุคคลและบริษัทต่าง ๆ พวกเขาช่วยเหลือลูกความเกี่ยวกับข้อตกลงที่มีความซับซ้อน เพื่อให้ลูกความจ่ายภาษีที่เหมาะสมกับรายได้ กำไรหรืออสังหาริมทรัพย์ที่มี
  • ทนายความด้านทรัพย์สินทางปัญญา ทำหน้าที่ด้านกฎหมายการลงทุน ลิขสิทธิ์ การค้าและการฝีมือ เช่น ดนตรี หนังสือและภาพยนตร์
  • ทนายความครอบครัว ทำงานด้านกฎหมายในเรื่องภายในครอบครัว พวกเขาให้คำแนะนำลูกความเกี่ยวกับการหย่าร้าง การเลี้ยงดูบุตรและการรับบุตรบุญธรรม
  • ทนายความด้านความปลอดภัย ทำงานด้านกฎหมายที่เกี่ยวกับการซื้อหรือขายหุ้น รักษาและดูแลเอกสารและข้อมูลที่เป็นความลับ
ทนายความจะต้องทำงานร่วมกับใครบ้าง

 

  • ลูกความ คือผู้ที่ว่าจ้างให้ทนายความว่าความให้ ไม่ว่าจะในกรณีที่เป็นโจทก์ (ผู้เสียหาย) หรือจำเลย (ผู้ถูกกล่าวหา) ลูกความต้องสื่อสารเรื่องราวต่างๆ ให้ทนายรับทราบเพื่อหาทางแก้ไขและคืนความยุติธรรมให้แก่ลูกความตามความถูกต้องของกฎหมาย
  • อัยการ หากคู่คดีของเราเป็นหน่วยงานรัฐ อัยการจะเป็นผู้ว่าความให้อีกฝ่าย ซึ่งเราต้องต่อสู้ด้วยในชั้นศาล
  • ตำรวจ ในขั้นตอนการดำเนินคดี ทนายต้องขอความร่วมมือจากตำรวจ ให้ช่วยอำนวยความสะดวกให้ เช่น ขอดูเอกสารหรือบันทึกประจำวัน เดินทางไปปิดหมายศาลจำเลย ดักจับผู้ต้องหาหรือคุยกับพยาน
  • ราชทัณฑ์ ในกรณีที่ลูกความหรือพยานของทนายอยู่ในเรือนจำ ต้องมีการติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ด้วย
  • พยาน คือผู้ที่ผู้รู้เห็นเหตุการณ์ที่ทนายความต้องพูดคุยเพื่อให้เกิดประโยชน์กับรูปคดี
  • ผู้พิพากษา ในขั้นตอนการสืบคดีและขึ้นศาล ทนายความจะต้องว่าความต่อหน้าผู้พิพากษาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ซึ่งเป็นผู้พิจารณาคดีทั้งหมด

 

ติดต่อเรา แผนที่สำนักงานทนายความติวานนท์ 

ข้อมูลอ้างอิง : สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์

Scroll to Top